wanderfulminds

When you wonder, your mind wanders, and you realize how wonderful everything is

  • Home
  • Stories & Guides
  • Facts & Tips
  • Brains & Minds
  • Languages
  • Education
  • Hire me!
  • Contact
You are here: Home / Archives for KaiMook McWilla Malany

คณะ อักษรศาสตร์ เรียนอะไร จบมาทำอะไร

August 27, 2016 By KaiMook McWilla Malany 2 Comments

 

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เทรนด์เรียนอักษรศาสตร์ ยังมาแรงไม่ขาดสาย เด็กสายศิลป์หลายคนอยากเข้าอักษรฯ แต่กระนั้น ก็ยังไม่รู้เลยว่า อักษรศาสตร์ คืออะไร เรียนอะไร กันแน่ พ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกหลานเข้าคณะอักษรฯ หลายคนก็ยังมีความเข้าใจผิดๆ กันอยู่ว่า “อักษรฯ เรียนภาษา” “อยากเก่งภาษาต้องเข้าอักษรฯ”

ในฐานะนิสิตเก่าคณะนี้ อักษรศาสตร์ ไม่ได้ เรียนแค่ภาษา นะคะ เราเรียนอย่างอื่นด้วย อักษรศาสตร์ เป็นสายมนุษยศาสตร์ มีสาขาเอกโทอื่นมากมายที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนภาษาเลย ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ปรัชญา วรรณคดีเปรียบเทียบ บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์

ส่วนสาขาเอกหรือโทภาษา ทั้ง ภาษาตะวันตก อย่าง ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน อิตาลี หรือ ภาษาตะวันออก อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี บาลี-สันสกฤต ก็ไม่ได้เรียนแต่ภาษาเท่านั้น แต่เรียนวรรณกรรม วรรณคดี สังคม ประวัติศาสตร์ ปรัชญาและอื่นๆ ของประเทศและภูมิภาคเหล่านั้นด้วย โดยรวมแล้ว อักษรศาสตร์เรียนเพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ และการอยู่บนโลก เรียนให้เห็นโลก เป็นการเปิดโลกทัศน์และมุมมองให้กว้างขึ้น คิดวิเคราะห์เป็น (หรือที่เรียกว่าคิดมาก 55)  เพราะนี่คือ หลักการหลักๆ ของสายมนุษยศาสตร์

อาจจะฟังดูเข้าใจยากสักหน่อย ว่าที่เรียนคืออะไรกันแน่ คำว่า “การเรียนให้เข้าใจมนุษย์” มันดูจับต้องไม่ได้ ดูล้ำ แลดูลึก เอาไปทำกินไม่ได้ … เข้าใจไป แล้วทำอะไรได้หรือ … หลายคนอาจสงสัย แต่นี่แหละถูกแล้ว อักษรฯ ไม่ใช่สายอาชีพ ความรู้ที่ได้ และเส้นทางในอนาคต คือ เส้นทางแห่งการประยุกต์ วิเคราะห์ จับนู่นจับนี่ที่เรียนมาประสานกันเอง นำเอาความรู้และประสบการณ์ 4 ปี ที่สั่งสมมา รวบรวมเป็นองค์ความรู้เฉพาะตัว กลายเป็นเอกลักษณ์ของใครของมัน

หากจะเรียนไปเพื่อให้จบมามีตำแหน่งหน้าที่การงานที่เป๊ะ รู้เลยว่าไปไหน ทำอะไรต่อ ก็คงไม่ใช่คณะนี้ ไม่ต้องเรียนอักษรศาสตร์ เพราะนั่นคือความเข้าใจผิดๆ ถ้าคิดว่าจะเข้ามาเรียนเพื่อาชีพที่แน่นอน ไม่ต้องเข้ามาหรอกค่ะ เรียนสาขาอื่นดีกว่า (ฟังดูห้วนๆ และไร้ความรู้สึก แต่นี่ คือความจริงล้วนๆ ค่ะ)

เพราะเหตุนี้เองค่ะ ความไม่ตรงสายอาชีพ และเส้นทางอนาคตที่ไม่แน่นอน ทำให้นิสิตอักษรฯ ที่เพิ่งเรียนจบ แทบทุกคน “เคว้ง” จนเป็นที่ร่ำลือกันนักหนาในคณะด้วยกันว่า หากถามว่า “จบมาทำอะไรต่อ” ก็ไม่ต่างกับ “ตายแล้วไปไหน” เพราะเราหลายคนก็ … ไม่รู้เหมือนกัน … ว่าจะไปไหนต่อ หรือ เลือกเส้นทางไหนดี มันคือความมมืดแปดด้าน หันไปไหนก็หาอาชีพที่รองรับแน่นอนไม่เจอ

แ ต่

ไ ม่ ใ ช่ ว่ า ไ ม่ มี  

เพราะ เส้นทางสายอาชีพนิสิตคณะนี้มีมากโข ต่างคนต่างไปหลากที่หลากสาขาให้แปลกแหวกแนว

บุ๊ค (อักษรฯ 79): ล่ามภาษาจีน

“อักษรฯทำให้เราได้คิดและมองเห็นโลกหลายๆใบจากที่เคยเห็น ในขณะเดียวกัน เมื่อเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของอักษรฯ เราก็จะถูกมองและคาดหวังในหลายๆมุมด้วยเช่นกัน”

จิรา (อักษรฯ 79): “จบมาก็สวยไปวันๆ อะค่ะ”*

เนื่องจากไม่ใช่สายอาชีพ เหมือนหมอที่จบมาก็เป็นหมอ พยาบาลเป็นพยาบาล กฏหมายก็ทำงานแวดวงกฎหมาย ทนาย อัยการทำงานบริษัทกฎหมาย เราจึงมีเส้นทางในอนาคตมากมาย หากมองในแง่ดี คือ เรามีทางเลือก อยากไปไหนก็ไป ทำงานอะไรก็ทำ เลือกอะไรก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลนะ ไม่ใช่ว่า เออ จบมาจะเป็นพยาบาล แบบนี้ก็ไม่ใช่ละ แต่ถ้าชอบจริงๆ สนใจๆ จริงๆ มันก็มีลู่ทางไป อย่างตัวฉันเองตอนนี้ก็เรียนสาขาประยุกต์เกี่ยวกับ สมองกับภาษา เรียกว่า ภาษาศาสตร์คลินิก/ประสาทวิทยา ศึกษาหมดเลยพวกโครงสร้างสมอง สถิติ โรคอัลไซเมอร์ ออทิสติก อเฟเซีย ฯลฯ เพื่อนฉันต่อ ด้านกฎหมาย อสังหาริมทรัพย์ การตลาด ก็มีเยอะแยะ ทำงานบริษัทกฎหมาย ทำงานในแวดวงธุรกิจ ก็มีถมเถ เป็น ครู ล่าม แปลเอกสาร ทำงานธนาคาร ทำงานตามสำนักพิมพ์ เป็นนักข่าวก็ได้ เป็นแอร์ หรือเป็นเลขาฯ ก็ดี เข้ากระทรวง ต่างๆ ก็ยังได้เลยค่ะ เพื่อนที่เรียนต่อ แพทย์ ก็มีเหมือนกัน รุ่นฉันเนี่ยแหละ

อิ่ง (อักษรฯ 79): ป.โท Graduate Institute of Interdisciplinary Legal Studies มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน

“อักษรมิใช่สายวิชาชีพ ไม่สอนคุณเดินสายไฟ คำนวนงบดุล วาดแผนผังอาคาร จะพูดว่าสิ่งที่เรียนไปไม่สามารถใช้ “แบบจับต้องได้” ในชีวิตจริงเลยก็ว่าได้ เราเรียนการใช้ภาษาและวิเคราะห์โครงสร้างภาษา เราเรียนประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ปรัชญาและศิลปะ เราเรียนรู้โดยการ … (อ่านต่อ คลิกที่นี่)”

ความ “เคว้ง” บางครั้งเกิดจากความไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำงานได้หรือไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนเฉพาะทางนั้นๆ มา บางครั้งความ “เคว้ง” ก็เกิดจากหัวหน้า/เพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างๆ ที่ยังมีความเข้าใจผิดว่านิสิตคณะนี้รู้แต่เรื่องภาษาจนไม่เห็นความสามารถและทักษะที่แท้จริงของเรา และบางครั้ง ความ “เคว้ง” เกิดจากการมีทางเลือกมากมายที่ทำให้เราที่ยังหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าชอบอะไร อยากทำอะไร เลือกงานไม่ได้ ไปไม่ถูก

ท้ายสุด ฉันอยากบอกว่า หากเรียนอักษรฯ แล้วจะกลัวว่าจบมาไม่มีอะไรทำ หรือไม่มีงานรองรับ อันนี้ขอยืนยันว่าไม่ต้องกลัวค่ะ คณะนี้สอนอะไรให้เราหลายๆ อย่าง สิ่งสำคัญที่ได้มานอกจากความรู้คือ “ความคิด” คณะนี้สอนให้เรา คิดได้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น มันเป็นทักษะที่จะติดตัวเราตลอดไป เอาไปไหนก็ได้ ประยุกต์ใช้ได้หมด (ฟังดูเหมือนเยินยอคณะสีเทาแห่งนี้ แต่หากได้มาเรียนแล้ว แม้จะเคว้งกับเส้นทางอาชีพแค่ไหน ความคิดที่ติดตัวยังไงก็เป็นอาวุธติดตัวคุณไปจนวันตาย)

อย่ากลัวเลยค่ะ

ถ้าอยากเรียนแล้วก็เข้ามา 

มี ท า ง เ ลื  อ ก แ น่ น อ น

จากใจศิษย์เก่าคนหนึ่ง 🙂

 


*ขำๆ นะคะ แกล้งเพื่อน 😛 

อ่าน บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คลิกที่นี่

 

Filed Under: Education Tagged With: อักษรศาสตร์

โรคซึมเศร้า

August 27, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

หลายคน (แม้กระทั่งฉันเอง ในอดีต) เข้าใจว่า โรคซึมเศร้า เกิดจาก ตัวเราเอง ที่คิดไปเอง เหมือนว่าคิดอะไรเองไม่เป็น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้เบื่อโลก ไม่อยากอาหาร และอยากจบชีวิตตนเอง

แต่คำว่า “โรค” ก็คือ โรค ค่ะ

ภาพจาก seedpsychology

โรคซึมเศร้า เป็น ความผิดปกติทางการแพทย์ ที่ ต้อง ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี และ ต้อง พบแพทย์/จิตแพทย์ 

โรคซึมเศร้า ต่างจาก อาการเศร้า หมอง ซึม อื่นๆ เพราะ อาการเศร้าเหล่านั้น สามารถหายไปได้ คลี่คลาย และดีขึ้นเองได้ เมื่อได้พูด ปลดปล่อย และมีคนรับฟัง เข้าใจเรา แต่ “โรคซึมเศร้า” มันหายเองไม่ได้เลย ผู้ป่วยโรคนี้นอกจากจะเกิดอาการซึมเศร้า ไร้ชีวิตชีวาแล้ว ยังมี อาการอื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามาด้วย เช่น ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกไม่ได้ รู้สึกว่าอะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปหมดทุกอย่าง ทั้ง พฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึก

ผู้ป่วยโรคซึมเศ้รา จะคิดมากเกินปกติ เห็นอะไรก็ ท้อแท้ และ หมดหวัง สิ้นหวัง นี่คือลักษณะอาการของ “โรค” นะคะ ควบคุมเองไม่ได้ (จะไปว่าเขา ว่าคิดมากเอง คิดเองไม่เป็น ไม่ได้ค่ะ)

อาการหลักๆ ที่เห็นได้ชัด คือ

  1. นอนหลับๆ ตื่นๆ
  2. ไม่สนใจอะไรรอบข้างทั้งนั้น
  3. เก็บตัว ไม่สนใจใคร
  4. หงุดหงิดง่าย อ่อนไหว และ ขี้ใจน้อย อย่างผิดปกติ
  5. น้ำหนัก ขึ้น หรือ ลง อย่างเห็นได้ชัด โดยไม่มีสาเหตุ
  6. เบื่ออาหาร
  7. ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
  8. รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป: เปลี่ยนแปลง ทั้ง อารมณ์ และ ความคิด อะไรๆ ดูแย่ไปหมด เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง
  9. มีอาการทางจิต เช่น คิดว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง มีคนจะทำร้าย มีอาการหูแว่ว


เกณฑ์การวินิจฉัย*

มีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า

  1. มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
  2. ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
  3. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
  4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
  5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
  6. อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
  7. รู้สึกตนเองไร้ค่า
  8. สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
  9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย

ทั้งนี้

  • ต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ และ
  • ต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่

สามารถดาวน์โหลด แบบสอบถามภาวะอารมณ์เศร้า ได้ที่ คลิกที่นี่

การรักษา

รักษาได้ด้วย ยาแก้เศร้า และ/หรือ พบแพทย์ เพื่อความช่วยเหลือ ชี้แนะ ในการใช้ชีวิต และให้คำปรึกษาเรื่องการปรับตัว เปลี่ยนแปลงมุมมอง ปรับเปลี่ยนโลกทัศน์

ผู้อยู่รอบข้าง ควรคอยสังเกตุพฤติกรรม อาการ ของบุคคลใกล้เคียงเสมอ ว่ามีอาการ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด และ นานแค่ไหน หากอาการตรงจุด ควรพบแพทย์ทันที และไม่ควรดุด่าว่ากล่าว หรือตำหนิผู้ป่วยนะคะ ควรตระหนักเสมอ ว่า “โรค” ก็คือ “โรค” ค่ะ เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่ง รักษาได้ แต่ต้องใช้เวลา

 

 


*ข้อมูลเกณฑ์การวินิจฉัย อ้างอิง จาก รพ. รามาธิบดี 

 

Filed Under: Brains & Minds

ลุย อิสตันบูล ตุรกี หลังปฏิวัติ 1: เกริ่นนำ การเดินทาง ทั่วไป

August 26, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

ลุย อิสตันบูล ตุรกี หลังปฏิวัติ 1

(บทเกริ่น การเดินทาง และเคล็ดลับ ชีวิตทั่วไป)

#Istanbul #turkey #souvenir #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Aug 23, 2016 at 2:43am PDT

 

ตุรกี อันตรายแค่ไหน ปลอดภัยไหม ไปดีไหมนะ?

คำตอบ คือ เท่าที่ไปมา ปลอดภัยมากค่า หายห่วง 🙂

ฉันซื้อตั๋วเครื่องบินไปอิสตันบูล ได้ไม่นาน ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เกิดเหตุระเบิดที่สนามบิน Atatürk จะประจวบเหมาะอะไรป่านนั้นก็ไม่รู้ค่ะ ปาดเหงื่อ … ชีวิตหนอชีวิต

แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดใช่ไหมคะ ที่ไทยก็มีระเบิด อยู่เยอรมันก็เกิดเหตุเอามีดไล่ฆ่าฟันกันบ้างที่รถไฟ ระเบิดห้างบ้าง ไอ่เราก็คิดค่ะว่าไหนๆ ก็ไหนๆ นะ เหตุร้ายเกิดได้เสมอ ทุกที่ จะอยู่ไหนก็คงมีอันตราย แต่ความปลอดภัยและความสุขก็มีได้เหมือนกัน ชีวิตผู้คนก็ต้องเดินหน้าต่อไป ประชากรชาวตุรกีก็ต้องใช้ชีวิต การท่องเที่ยวก็เช่นกัน อิอิ (จริงๆ คือ งก จ่ายเงินทุกอย่างแล้ว 555)

ไปดีไหมนะ ถามใจตัวเองดู

ไปค่ะ ยังไงก็จะไป (ดื้อดึง) ถ้าก่อนบินไม่เกิดอะไรวุ่นวายน่ากลัวขนาดนั้น แต่แล้ว อีกไม่นานหลังจากระเบิด ก็เกิดการปฏิวัติจร้าา ทหารเต็มเมือง ปืนเอย อะไรเอย แต่ … ตอนนั้นบอกตรงค่ะว่าไม่ได้คิดอะไรเลย 5555 คุ้นเคยกับปฏิวัติที่ไทย “เจอบ่อย จนชิน” แต่เพื่อนๆ ฉันสิคะ ส่งข้อความมาบ้าง โทรมาบ้าง

“อย่าไปเหอะแก อันตราย”

“ถ้าจะไป ซื้อประกันชีวิตไว้ราคาสูงๆ ละกัน”

“ไปดิ ไปรอตาย”

ค่ะ เพื่อนฉันรักและห่วงฉันม๊ากจริงๆ รักเพื่อนเช่นกันค่ะ 😀

ถึงวันนี้ เกือบกลางเดือนสิงหาคม (13 สิงหา 2016) ทุกอย่างดูสงบ (สงบจริงไหมไม่รู้ค่ะ ฉันไม่ได้ติดตามข่าวเลย ไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น อยู่อย่างโลกสวยไปวันๆ) บอกป๊าม๊าก่อนเดินทางไม่นาน ว่าจะไปอิสตันบูล

ป๊าม๊าผู้ห่วงใย ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดว่า “ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกันนะลูก” เพราะถึงท่านพูดอย่างไร ฉันก็คงไปอยู่ดี ถ้ามันไม่เกิดเหตุร้ายก่อนฉันบิน ท่านคงเอือมระอา 555

และแล้ว เย้! วันนี้ วันบิน ก็มาถึง เดินทางแล้วค่ะ

ปรับภาพความคมชัดต่ำ ให้โหลดไวๆ 5555 ภาพคมชัด โปรด คลิกดูที่ instagram นะค้า 😀

นั่งเครื่องจากเยอรมัน (เบอลิน) มาลงอิสตันบูล (ปัจจุบันอยู่เยอรมันค่า) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งกว่า ฉันนอนหลับอย่างเดียวเลย ตื่นมาก็กินอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่อง แล้วก็หลับต่อ

ถึงสนามบินแล้ว ต้องส่งข้อความบอกเกสเฮาส์ที่จะไปพัก ตื่นเต้นมาก เดินทางเอง ลุยเอง แม้จะไม่ใช้ครั้งแรก แต่ก็เป็นครั้งแรกในตุรกี … แต่หาเน็ตไม่ได้เลยล่ะค่ะ สนามบินงกอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีอินเตอร์เน็ตค่า (ปาดเหงื่อ หงุดหงิด) จะบอกที่บ้านก็ไม่ได้ว่ามาถึงแล้ว เลยตัดสินใจใช้ซิมที่มีโทรหาเจ้าของที่พักว่าจะไปเลท เพราะคิวตรงจคนเข้าเมืองยาวมาาาาาาาาากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ย้ำว่ามากจริงๆ พร้อมลากเสียง) รอนาน 1.15 ชั่วโมง ถึงได้ปั๊มเอกสารออกจากสนามบิน เป็นอะไรที่ยาวนานที่สุดในสามโลก สนามบินวุ่นวายสุดๆ

Welcome to #turkey #Istanbul #ayasofya #hagiasofia

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Aug 14, 2016 at 11:30pm PDT

ข้อควรรู้:

  • คนไทยไม่ต้องขอวีซ่านะคะ ซื้อตั๋วเครื่องบินพร้อมเดินทางได้เลย
  • ใครที่ต้องขอวีซ่า บางประเทศซื้อวีซ่าได้ที่สนามบิน ก่อนถึงที่ตรวจพาสปอร์ต (passport control) จะมีจุดจำหน่ายวีซ่าค่า

ตรวจพาสปอร์ตเรียบร้อย ออกจากสนามบิน พร้อมตามหารถบัสค่ะ วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองจริงๆ แล้วเดินทางได้หลายแบบ

 

การเดินทางจากสนามบิน Atatürk

  1. รถบัส
  2. รถแท็กซี่
  3. ใต้ดิน (เมโทร)

บัตรเดินทางรถโดยสารค่า

ภายนอกรถราง ข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของ เดินชมระหว่างทางได้ตลอดเลย

วิธีที่ถูกที่สุด คือ ใต้ดิน!!! ค่า แน่นอนเลย แต่ต้องต่อรอบด้วยหากจะไปที่ย่านกลางเมือง taksim square หากเลือกเดินทางวิธีนี้ให้ไปลงที่สถานี taksim ราคาเที่ยวละ 2.3 ลิร่า

ซื้อบัตรก่อนนะคะ เป็นบัตรเติมเงิน ค่าบัตร 6 ลิร่า

ภายในรถรางค่ะ ใหม่ สะอาด เอี่ยม อ่อง!

ภายในรถรางเช่นกันค่า ใหม่ไม่แพ้กัน

ข้อควรรู้:

  • บัตร 1 ใบ ใช้กี่คนก็ได้ค่ะ มา 3 คน 5 คนก็บัตรเดียว แต่ต้องเดินทางด้วยกันนะคะ คนแรกแปะบัตรเสร็จ เดินเข้า แล้วยื่นบัตรให้คนที่สองได้เลยค่ะ เติมเงินบัตรได้ที่ร้านค้าทั่วไป หรือตามตู้ก็ได้
  • บัตรรถบัตรเดียวใช้ได้กับ รถราง รถบัส และ รถใต้ดิน ค่า ดีงามมาก
  • ต่อรถ 1 ที เสียค่าโดยสาร 1 ครั้ง นะคะ ถ้าเดินทางต้องต่อรถ 2 ที (transfer) ก็เสียค่าโดยสาร 2 ครั้งน้า

ทางเข้าไป metro/tram ตอนตอกบัตร

วิธีเดินทางอีกวิธี ที่ราคาแพงขึ้นมาอีกนิด คือรถบัสค่ะ เป็น shuttle bus ชื่อว่า Havatas (Havabus) รถดี ราคางาม ขอแนะนำ โดยเฉพาะหากมีกระเป๋าเดินทางด้วย ราคาไม่แพงมาก รวมค่ากระเป๋าให้ด้วยนะ (บางประเทศ ค่ากระเป๋า และค่าหัวเดินทาง คิดแยกกันค่ะ)

รถ shuttle bus นี้ ราคา 12 ลิร่า/คน

 

รถบัตรทั่วไปค่า

 

ตารางรถบัสค่ะ 😀

 

จ่ายค่ารถบนรถนะคะ มีพนักงานเดินขายตั๋ว ก่อนขึ้นก็เอากระเป๋าให้เค้าโหลดใต้เครื่องรถได้ ปลายทางรถคือ taksim square ฉันนั่งยาวสบายใจเฉิบ 🙂 นั่งนาน 60 นาที ทางคดเคี้ยวนิดๆ ต้องเอายามาดมทีเดียว เที่ยวรถมีถี่มาก ออกทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ

ข้อควรรู้:

  • ขึ้นบัสหน้าสนามบิน ออกจากประตูสนามบิน ให้ไปทางขวามือ
  • ปลายทางรถคือ taksim square จอดใกล้ๆ กับ Point Hotel หาง่าย หากกลัวหลงป้าย ดูคนอื่นๆ ได้เลยค่ะ เพราะเป็นปลายทาง คนลงหมดรถเลย 🙂

วิธีสุดท้าย แน่นอนคือ แท็กซี่ ค่า ส่วนใหญ่ได้ยินมาว่าคิดเป็นหัว หัวละ 45-55 (หรืออาจจะถึง 60) ลิร่า ตามแต่ว่าปลายทางไปไหนค่ะ ถ้าลง taksim square ก็ตกราคาที่ 55-60 ลิร่า ถ้าลงใกล้กว่านั้น คาคาก็ถูกกว่านั้นเยอะ

ข้อควรรู้:

  • ระวังเรื่องมิเตอร์ดีๆ นะคะ หากได้แท็กซี่คิดอัตราโดยสารตามมิเตอร์ ก็ดีไป หากไม่ได้แบบนั้น อาจต้องเสียค่าหัว ตามที่เขียนไปข้างต้นค่า

คนที่นี่เป็นมิตรมาก ถามทางได้เสมอ คุยไปเค้าคุยกลับ ถามอะไรเค้าทักทายคุยหมดเลย สนุกสนานเฮฮา แต่ต้องระวังตัวเสมอด้วยน้า มิจฉาชีพก็มี เหมือนประเทศอื่นๆ

ริมถนน ตามข้างทาง มีความติสส์ ให้นั่งชิว และถ่ายภาพ ตลอดทาง

Not a clue what this means or what it is. Anyone is kind enough to to enlighten me? ?อ่านไม่ออก แต่พบได้ทั้วไปเลย สัญลักษณ์นี้ ใครรู้บอกด้วยค่า #souvenir #turkey #istanbul

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Aug 15, 2016 at 10:35pm PDT

blockquote

ข้อควรรู้:

  • เดินทางไปไหนมาไหน ให้พกพาสปอร์ตติดตัวเสมอนะคะ อาจจะโดนเรียกตรวจ คนตรวจต้องใส่ชุดเจ้าหน้าที่เท่านั้น หากมีใครก็ไม่รู้มาขอตรวจ แนวๆ ว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ให้ระวังมากๆ และเดินหนีเลย ไม่ก็อย่าคุยด้วยเด็ดขาด อันตรายค่ะ
  • น้ำก็อก มีกลิ่น ไม่แนะนำให้ดื่มค่ะ แต่ถ้าคิดว่าไหว ก็เอาโล้ด … ฉันแนะนำให้ซื้อน้ำขวดตามร้านค้าทั่วไป ราคาขวดใหญ่ ประมาณ 0.5 ลิร่า ถูกใช้ได้ 🙂 ปลอดภัยต่อร่างกายด้วย
  • การเดินทางไปที่พัก (หรือที่ไหนก็ตาม) ควรเขียนชื่อสถานที่ไว้บนกระดาษนะคะ เวลาหลงทางจะได้ยื่นให้คนท้องถิ่นช่วยดู แม้เราจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่ชื่อสถานที่และชื่อถนน ยังไงเรายื่นให้เค้า เค้าก็เข้าใจค่ะ
  • สุดท้ายคือ เรื่องอาหารการกิน มีร้านค้าเยอะมากกกก ร้านค้าแถวสถานที่ท่องเที่ยวราคาสูง 20-40 ลิร่า ขณะที่ร้านอื่นทั่วไปตามย่านอื่นๆ ราคา 10-25 ลิร่า ค่ะ

 

หน้าถัดไปจะมาดูเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยว และ อาหารการกินกัน ลุยกันเลย คลิกที่นี่!!

 


อ่าน บทความ รีวิว ตุรกี ที่เกี่ยวข้อง

  • ลุย อิสตันบูล ตุรกี หลัง ปฏิวัติ 2: สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง

 

Filed Under: Turkey Tagged With: อิสตันบูล

Stavanger, Norway

June 29, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

Stavanger

 

Sleeping with #nature #pulpitrock #stavanger #norway #hiking #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:11pm PDT


อีกเมืองหนึ่งในนอเวย์แห่งนี้ เหมาะมากค่ะ สำหรับใครที่ชอบธรรมชาติ ชมนก ชมไม้ เดินป่า ปีนเขา และไม่กลัว ‘ตกเขา’

สุดๆ เลยล่ะ มาที่นี่แล้วบอกได้คำเดียวว่า ‘ฉั น รั ก เ ข า’ เหลือเกิน ฉันรักเขาจนไม่อาจมีใครได้อีกแล้ว 😀

จุดชมวิวยอดฮิต ที่ Pulpit Rock #stavanger #norway เดินไปประมาณ 2 ชม (บวก ลบ 30 นาที นะคะ ขึ้นกับว่าเดินช้าเร็วและพักถ่ายรูปมากน้อยแค่ไหน) วิวระหว่างทางว่าสวยงามแล้ว ตรงจุดสูงสุดปลายทางยิ่งสวยไปใหญ่ ชวนให้นั่งเฉยๆ มองธรรมชาติจากยอดสูงมากๆ ใครไม่กลัวความสูงและชอบความตื่นเต้น สามารถไปยืนปลายเขาได้ ไม่ก็นั่งย่อนตัวเองลงให้สบายใจ สนุกดีค่ะ ชิวดี ? #hiking #adventure #nature #mountain #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:00pm PDT

#pulpitrock #stavanger #norway #preikestolen #nature #hiking #adventure #lake #walkingtrail #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:49pm PDT

 

เขา ชื่อ Preikestolen หรือ the Pulpit Rock เป็นอันดับหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของเมือง Stavanger แห่งดินแดนสแกนดิเนเวียร์ นอเวย์ ที่ต้องบอกว่ามาแล้ว พ ล า ด ไ ม่ ไ ด้ จ ริ ง ๆ จะเป็นนักเดินตัวยงหรือชอบนั่งรถ ยังไงก็พลาดที่นี่ไม่ได้ ต้องเดินๆๆ อย่างเดียว แล้วจะติดใจ

A #reflection of #nature that makes you wonder “which one is which”? ธรรมชาติเล่นกล สวยใสเป็นกระจก อันไหนของจริงนะ … ติก ตอกๆ #hiking #adventure #nature #norway #stavanger #pulpitrock #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:06pm PDT

 

Preikestolen หรือ the Pulpit Rock เป็นเขาสูง 604 เมตร เหนือน้ำทะเล ทางเดินมีทั้งลาดชัน เป็นหิน เป็นดิน เป็นผา ครบถ้วนทุกรสค่ะ อ ร่ อ ย ร่ า ง ก า ย เดินไปสักพักตอนแรกๆ ก็เจอจุดชมวิวแล้ว แม้จะเหนื่อยแค่ไหน พอเห็นวิวต้องบอกว่า หายเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ รับประกันเลย หญิงสาวเดินใส่กางเกงขาสั้น ใส่เสื้อออกกำลังกายกีฬา ขณะที่ชายหนุ่มเดินครึ่งเปลือย ท่อนบนเป็นมัดๆ เห็นลำทำให้ชอบเดินป่าจัง อันนี้ก็อร่อย อ ร่ อ ย ส า ย ต า 😛

จับผิด! หาเจอไหมน๊า~ #mountain #nature #adventure #hiking #kid #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:02pm PDT

ดูเด็กเปลือยไปพลางๆ 

มนุษย์กับธรรมชาติ: ระหว่างทางเดินขึ้นไป Preikestolen เกือบครึ่งทาง มีแอ่งน้ำใหญ่ๆ เป็นจุดชมวิวและว่ายน้ำได้ด้วย ใครตะมาเตรียมชุดมาเปลี่ยนเผื่อก็ดีนะคะ ? #norway #nature #hiking #adventure #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 9:55pm PDT

หนุ่มสาว เปลือย ท่อนบนท่อนล่าง ก็มีนะคะ 

ฉันเดินเขามาเยอะพอควร ปีนป่ายหลายที่ ที่นี่เป็นหนึ่งในบรรดารายชื่อเส้นทางทั้งหมดที่ฉันคิดว่ายังไงๆ ก็ต้องมาอีกให้ได้

Climbing the rocks #hiking #stavanger #pulpitrock #norway #walkingtrail #nature #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 13, 2016 at 3:45am PDT

ความสูงชัน และหินน้อยใหญ่ตามทาง

A big red T walking trail ensuring you won’t get lost. ระหว่างทางเห็นสัญลักษณ์นี้ เป็นตัว T สีแดงๆ รับรองไม่หลงค่ะ #wanderfulminds #adventure #hiking #nature #walkingtrail #pulpitrock #stavanger #norway

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:31pm PDT

ระหว่างทางเดิน มีสัญลักษณ์ ตัว T สีแดง บอกทางตลอด ไม่กลัวหลงค่ะ

ภาพรวม เส้นทางเดิน ไป ตี น เ ข า 😛

วิธีเดินทาง

เริ่มที่ Stavanger ไปรอที่ ท่าเรือ Tau-ferry นั่งไม่ถึง 1 ชั่วโมง บนเรือมีอาหาร ไอศกรีม ที่นั่ง ห้องน้ำ สะดวกสบาย ราคาของแพงเป็นปกติตามวิถีชาวนอเวย์

ทางขึ้นเรือ หน้าตาแบบนี้ (ที่นอเวย์ การเดินทางโดยเรือเป็นเรื่องปกติ ขับรถขึ้นไปได้เล้ย)

(นอกเรื่อง) ขณะรอเรือฉันคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องค่าครองชีพ เธอบอกว่าของที่นอเวย์แพงเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คนที่นี่ก็มีความสุข เพราะรายได้ที่ได้ก็สูงด้วย สบายพวกเธอเวลาออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะเมื่อเทียบค่าเงินแล้ว อะไรๆ ก็ถูก ยิ่งถ้าไปเอเชีย ยิ่งถูกไปใหญ่ ลำบากก็คนที่มาเที่ยวนอเวย์นี่สิ ใครมาก็บ่นว่าแพง

ความแพงนี้มีที่มาที่ไปค่ะ ประชากรที่นี่น้อย (ไม่ต่างจากฟินแลนด์) รัฐบาลดูแลดีและสวัสดิการก็ดี ประชาชนเสียภาษี 30 เปอร์เซ็นต์!! เยอะมาก คิดดูสิคะ ทำงานทั้งเดือน เงินหายไปเกือบครึ่ง!! แต่มันแลกมากับการศึกษา (เรียนฟรี) ประกันสุขภาพ และวันลา หากป่วย รัฐบาลออกให้ (ซึ่งหากมองดีๆ ก็คือเงินเราเอง ที่ฝากรัฐบาลในรูปแบบของภาษี 30%) หากมีลูก ผู้เป็นแม่ก็มีวันลามากเป็นปี ผู้เป็นสามีสามารถลาวันทำงานได้ด้วย คือ ในหนึ่งสัปดาห์ทำงานแค่ 4 วัน อาจจะทำ จันทร์-อังคาร หยุดวัน พุธ และทำอีกทีวันพฤหัส-ศุกร์ หรือจะลาศุกร์ แล้วทำงานวันจันทร์-พฤหัส ก็ดี อยากลาอย่างไรก็ได้ ใช้สิทธิ์ของตนได้เสมอ

(เข้าเรื่อง) ลงเรือปุ๊ป ก็ ต่อรถบัส จาก Tau ไปที่ ลานจอดรถ Pulpit Rock ค่ะ นั่งประมาณ 30 นาที พอถึงแล้ว เริ่มเดินได้เลย เดินไปได้ประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร จะเจอจุดบันจี้จัมพ์ค่า ใครยังสะใจกับหน้าผาสูงชันไม่พอ ก่อนกลับแวะกระโดดเขาได้

ลงเรือปุ๊ป มีรถบัสสีเขียว มารอเลยค่า หาง่ายมากๆ

 

จาก ลานจอดรถ Pulpit Rock ไปหน้าตา ปกติเดินกัน 1.30-2 ชั่วโมง ฉันกับเพื่อนเดินไป ถ่ายรูปไป พักไป ใช้เวลาเกือบ 2.30 ชั่วโมง ถึงแล้ว เจอลุงป้าชาวจีนเยอะเลย นักท่องเที่ยวคนอื่นมีมากไม่แพ้กัน ต่างนั่งนอนริมผา ไม่กลัวตกกัน ฉันได้ไปนั่งกับ ‘เขา’ ด้วยล่ะ นั่งที่ ‘ตีน’ เขา เพราะอย่างว่า ‘ฉันรักเขา’ มากค่ะ แม้จะเป็นตีนฉันก็รัก

Trekking under a large cloud #hike #adventure #nature #mountain #pulpitrock #norway #stavanger #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 14, 2016 at 9:51am PDT

เห็นลานหินกว้างๆ นี้ คือใกล้จะถึงแล้วค่ะ ฮึบๆ 🙂 

 

‘เขา’ บอกฉันว่า ก่อนฉันมาไม่นาน มี ค น ต ก เ ข า ต า ย !! เพราะมัวแต่ไปชะเง้อ ถ่ายรูป หากฉันรู้ก่อนไป ฉันคงไม่กล้าไปชะโงก ด้อมๆ มองๆ แต่ตอนนั้น ความรักมันพาไป ทั้งกระโดด ทั้งนั่งมองฟ้า และนอนเคียงข้าง ‘เขา’ ทำทุกอย่าง ไม่มีกลัว เพื่อ ‘เขา’ ที่ฉันรัก

นี่แหละนะ ที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด (ขอดราม่า) 😛

ฉันอยู่กับ ‘เขา’ ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ฟ้าเริ่มหมอง เมฆครึ้ม มืดฟ้ามัวดิน “แ ป ะ  แ ป ะ” ฝนตกสิค่ะ รีบเดินเลย … เปียก จะเขาไม่เขา ฉันไม่ห่วงแล้ว ไม่รักแล้ว รีบเดินหนี ดุ่มๆ ลงมา ห่วงกล้องคู่ใจ เปียกหมดแล้ว

ฉันถอดเสื้อตรงนั้น ไม่อายประชาชีแล้วค่ะ ถอดมันให้หมด จะหนาวจะเปียกไหม่หวั่นแล้วด้วย เอาเสื้อที่ใส่ข้างในถอดออกมาพันกล้อง แล้วส่วมเสื้อนอกทับ ความเซ็กซี่ของพุงดุ๊ยๆ ของฉันไม่มีใครสนแล้วล่ะ ทุกคนเดินไม่สนใจใครทั้งนั้น

ระหว่างทางลงมีเห็นป้าหัวทองคนหนึ่งเลือดอาบที่ขา ป้าล้มค่า ก็พื้นหินเปียกขนาดนั้น ทางลาดชั้นอีก ต้องมีคนพยุง เจอกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งพยายามขออนุญาตป้าด้วยความหวังดีว่า จะสวดภาวนาให้พระเจ้าคุ้มครอง แต่ดูเหมือนว่าป้าและบรรดาเพื่อนป้าจะไม่ศาสนาเท่าใดนัก บทสนทนาจึงดูเหมือนทะเลาะกันบ้าง เป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้ ฉันก็เดินของฉันต่อไป

อีกประมาณ 30 นาที ต่อมา เดจาวู ค่า เจอคุณลุงคนจีนร้องครวญครางเบาๆ ในสภาพเดียวกับคุณป้าคนก่อน ลุงน่าจะล้มเช่นกัน ตอนนั้นฝนตกหนักกว่าเก่ามาก ล้มกันหลายคน เหมือนฟ้าจะโกรธใครมา ไม่ก็ฟ้ากลั้นฉี่มานาน ปล่อยทีเดียว กระหน่ำจนผู้คนตกใจ

ฉันลงเขาอย่างปลอดภัย ใช้เวลาลงแค่ 1.30 นาที ด้วยเนื้อตัวเปียกแฉะเหมือนเล่นสงกรานต์ หนาวค่ะ เริ่มเย็นแล้วด้วย ลมแรง

ถือว่าลมฟ้าเป็นอุปสรรคของความรัก

‘ฉั น รั ก เ ข า’

แต่ฉันจะทำให้รักของเราสมหวัง

เจอกันใหม่ ต้องได้ขึ้นไปอีกครั้งเร็วๆ นี้ แน่ๆ 🙂

หวังว่า คุณลุง คุณป้า ทั้งสองคน จะหายดี และลงจากเขาได้ปลอดภัย

 

 

Filed Under: Norway Tagged With: ไฮกิ้ง

โรคจากการขึ้นที่สูง

June 22, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

Mountain sickness

 

#pulpitrock #stavanger #norway #hike #nature #lake #sky #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 12, 2016 at 10:52pm PDT

 

ฉันเพิ่งอ่านข่าวทันตแพทย์หญิงไทยพิชิตยอดเขาเอเวอเรสไปหมาดๆ ยังทึ่งในความแข็งแกร่ง และชื่นชมความกล้าหาญของเธอได้ไม่นานนัก ก็ได้ข่าวครูสาวชาวออสเตรเลียเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปพิชิตยอดเขาลูกเดียวกัน (Another death on Mt Everest, Australian lecturer dies near Camp IV, The Himalayan Times)

เป็นเรื่องน่าเศร้าใจไม่น้อย พลันให้คิดว่า สุขภาพร่างกายแม้จะสำคัญแค่ไหน ร่างกายจะแข็งแรงเพียงใด ต่อให้ไม่ประมาท แต่ธรรมชาติที่แม้จะสวยงามก็ยังมีพิษภัยที่มนุษย์อย่างเราบางทีอาจควบคุมไม่ได้อยู่ดี

อาจารย์มาเรีย อาลิซาเบธ สตรีดอม (Dr. Maria Elizabeth Strydom) จบชีวิตลงด้วย “โรคจากการขึ้นที่สูง” (Altitude sickness/illness หรือ Mountain sickness) เป็นอาการที่เกิดจาก การขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความมีสูงตั้งแต่ประมาณ 2,100เมตร (7,000 ฟุต) จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เช่น ตามบริเวณยอดเขา ภูเขา

พอไปอยู่บนที่สูงมาก จะเกิดอาการ Acute Mountain Sickness (AMS) เกิดจากการที่ร่างกายปรับตัวไม่ทันในสภาวะที่มีออกซิเจนน้อย ทำให้ปวดหัว มึนศีรษะ เหนื่อย หอบ หายใจเร็ว

  • อาการ
  • ปวดหัว
  • เหนื่อย
  • มึนศีรษะ
  • หน้ามืด
  • ไม่อยากอาหาร
  • นอนไม่หลับ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อาการคล้ายคนเมา/เมาค้าง

โดยทั่วไปแล้วร่างกายอาจปรับตัวได้ ภายในระยะเวลา 1-2 วัน แต่หากเป็นต่อเนื่อง และยังฟืนเดินทางต่อไป (ปีนเขาขึ้นไปที่สูงต่อไปอีก) อาการอาจรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต อย่างไรก็ดี แม้จะหยุดเดินทางแต่ร่างกายบางคนก็สู้ไม่ได้ ทำให้อาการไม่ดีขึ้น

ปัจจัยเสี่ยง
ข้อควรพึงระวังคือ เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอาการเหล่านี้หรือไม่ เมื่อเดินทางขึ้นที่สูง จากข้อมูลพบว่า “แม้จะสุขภาพดีแค่ไหน ร่างกายที่แข็งแรงก็ไม่ได้ช่วยลดอัตราการป่วยเป็นโรคจากที่สูงเลย” เท่าที่ทราบคือ บุคคลที่มีอัตราเสี่ยงมากกว่าบุคคลทั่วไป คือ บุคลลที่

  • มีปัญหาสุขภาพปอด
  • มีปัญหาเรื่องการหายใจ (หอบ หืด)
  • มีประวัติสุขภาพเคยเป็นโรคจากการข้ึนที่สูงมาก่อน
  • ดื่มแอลกอฮลอ์ก่อนปีนป่าย/ขึ้นที่สูง
  • ปีนป่าย/ขึ้นที่สูงอย่างรวดรเร็วภายใน 1 วัน: เดินทางขึ้นที่สูง 9,000 แมตร ต่อ วัน
  • ไม่ได้อยู่ที่สูงมาก่อน

How can you not fall in love with nature? #hike #adventure #naturelovers #wanderfulminds #ocean

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 14, 2016 at 4:28am PDT

 

วิธีป้องกัน

  • หากมีอาการ ให้พัก หยุดเดินทาง และทานยานอนหลับ
  • ห้ามดื่มแอลกอฮล์
  • หลังจากมีอาการ หากภายใน 24-48 ชั่วโมง อาการยังไม่ดีขึ้น ควรหยุดเดินทาง และกลับลงสู่ที่ต่ำ

 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในอาการขึ้นแรกและโรคจากการขึ้นที่สูง ยังมี น้ำท่วมปอด หรือ ภาวะปอดบวมน้ำจากที่สูง High altitude pulmonary edema (HAPE) ที่อันตรายรุนแรงถึงชีวิตเช่นกัน

ป้องกัน และดูแลตัวเองดีๆ นะคะ

 

 


*ข้อมูลแปลและดัดแปลงจาก “Patient information: High altitude illness (including mountain sickness) (Beyond the Basics), Gallagher S et al, 2016”

 

Filed Under: Travelling Tips Tagged With: ไฮกิ้ง

Burano, Murano, Torcello

June 22, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

Burano

เป็นหมู่เกาะ (archipelago) ทางตอนเหนือในอิตาลี เดินทางได้ง่ายๆ จากเวนิซ (Venice) ค่ะ นั่งเรือไปได้เลย 😀 ความงามของที่นี่คือ “สีสันของตึกรามบ้านช่องที่สดใสปรี๊ดปร๊าด” ฉันไปตอนเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นหน้าหนาว หมอกลงหนามาก แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือสีตึกค่ะ จะหมอกหนาแค่ไหน สี ก็ ท น ด้  า ย ย ย 😛

#burano #italy #venice #venezia #europe #december #wanderfulminds #leisure #adventure

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 28, 2015 at 7:05am PST

 

แต่ฉันหนาวค่ะ ไม่ค่อยมีอารมณ์ถ่ายรูป ภาพที่ถ่ายออกมาเลยไม่ค่อยจะงดงามนัก ขออภัย เชื่อว่าหน้าร้อน ฤดูท่องเที่ยว สีบ้านต้องสดสะท้อนกับแดดอันแรงกล้าแน่ๆ ค่ะ 😛

บ้านช่องที่นี่เป็นตึกสูง แคบๆ ไม่ต่างจากที่เวนิซเลยค่ะ สังเกตุหอคอยที่นี่ดีๆ นะคะ มันเอียงแข่งกับหอเอนเมืองปีซ่าด้วยล่ะ ที่นี่เค้าเรียกว่า The Leaning Bell Tower

#landmark #glass #italy #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 22, 2016 at 4:27am PDT

 

ตึกสีที่นี่ ไม่ได้อยากทาสีอะไรก็ทาได้นะคะ ต้องทำเรื่องขอจากรัฐบาลเสียก่อน! เพื่อได้รับการอนุมัติว่าทาได้หรือไม่ ระบบระเบียบบ้านเมืองเค้าดีมาก เหตุผลหนึ่งนอกจากเพื่อความเป็นระบบระเบียบ ฉันว่าเพื่อการท่องเที่ยวด้วยค่ะ เพราะมันดึงดูดนักท่องเที่ยวอยากเราๆ เหลือเกิน

 

มีอะไรอีกไหม?

นอกเหนือจากตึกสี ที่นี่ยังเด่นด้าน หัตถกรรมลูกไม้ ด้วยนะคะ ฉันว่าคล้ายที่ไทย แต่ราคาสูงกว่ามว๊าก! ฉันได้แต่ดู ซื้อที่ไทยดีกว่าค่ะ สวยกว่าด้วยนะ ภูมิใจ 😀

Blue #blue #clothes #fashion #vintage #style #italy #burano #color #europe #december #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 28, 2015 at 7:03am PST

 

การเดินทาง

จาก เวนิซ โดยเรือ Line 12 ใช้เวลา 45 นาที ลงที่ Burano เลยค่า ตรวจเช็คได้ตามตารางช้างล่าง

เรือแท็กซี่ที่นี่บริหารโดย ACTV ตารางเรือเป็นเวลากำหนดชัดเจน มีหลายเส้น นั่งวนไปมาได้ หากนั่งสาย 12 แล้ว ไม่อยากรอ อยากลองสายอื่นๆ สามารถนั่งแวะไปมาได้เหมือนกัน บางสายอาจจอดหลายจุด ทำให้ต้องนั่งนาน บางสายจอดเฉพาะแห่ง ทำให้นั่งไม่นานเท่าไรนัก ดูดีๆ นะคะ

 

Murano

เป็นหมู่เกาะทางตอนเหนือในอิตาลีเหมือนกันค่ะ อยู่แถวๆ เวนิซ ถือว่าเดินทางไปเวนิซทีเดียว ได้แวะไป Burano และ Murano เลย (และยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เดินทางโดยเรือ สะดวก ง่ายดาย)

หมอกลง สีไม่สดเลย #coloredtown #italy #foggy #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 22, 2016 at 4:26am PDT

#venice #venezia #lake #nature #boat #wayoflife #wanderfulminds #italy

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jan 11, 2016 at 7:45am PST


 

ที่ Murano ต่างจาก Burano ที่งานอาชีพหลัก ขณะที่ Burano เต็มไปด้วยหัตถกรรมลูกไม้ ที่ Murano เต็มไปด้วยแก้วสีสัน

ในอดีต ที่เหมู่เกาะนี้เด่นดังด้านการประมง เป็นท่าเรือประมง มีเกลือมากมาย 😛 ตอนนี้กลายร่างเป็น “หมู่เกาะแก้ว” (the Glass Island) ไปแล้วค่ะ

เมืองแก้วที่อิตาลี แก้วเต็มไปหมด ทายซิเมืองอะไร เดินทางจากเวนิซ เป็นเกาะเล็กๆ 🙂

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 22, 2016 at 4:25am PDT

 

นอกจากแก้วที่นี่มีอะไรอีกหรือเปล่า?

  • Glass factories: โรงงานผลิตแก้ว
  • Glass museum (Museo del Vetro): พิพิธภัณฑ์แก้ว
  • Basilica of Saint Mary and Saint Donatus: เป็นวิหารของที่นี่ค่ะ

ส่วนใหญ่ก็แก้วค่ะ เดินไปไหนมาไหนก็แก้วเยอะแยะไปหมด เดินระวังดีๆ นะคะ ชนแตกแล้วจะเสียหายเอา 555 หลักๆ ฉันเดินชมเมืองถ่ายรูปมากกว่า

#mask #venezia #venice #italy #wanderfulminds #fujifilm #fujixa2 #cat

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 28, 2015 at 2:19pm PST

 

การเดินทาง

จาก เวนิซ โดยเรือ Line 12 ลงที่สถานี Murano เลยค่า (ตารางเรือเดียวกันกับข้างบน)

 

Torcello

Torcello เป็นหมู่เกาะเก่าแก่ของที่นี่ ถือเป็นเมืองโบราณ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือในอิตาลี และก็เช่นเดียวกัน Torcello อยู่ในพื้นที่เขตเวนิซ เดินทางได้ง่ายๆ จากเวนิซเช่นกัน

ลงเรือมาปุ๊ป เดินได้นิดนึง จะเห็น แม่นางคนนี้ทำท่านี้คอยต้อนรับนะคะ จะเซ็กซี่หรือเหนื่อยก็ไม่รู้ 😉

Foggy town #torcelloisland #venice #venezia #torcello #foggy #fog #wanderfulminds #hiking #leiture #nature #island #adventure

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 28, 2015 at 12:10am PST

 

ในอดีต (ประมาณ 1,500 ปีก่อน) Torcello เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด และมีประชากรหนาแน่นที่สุดในหมู่เกาะเวนิซ เลยล่ะค่ะ

พอลงเรือจากท่าเรือ เดินนิดหน่อย จะเห็นสะพานโบราณเชื่อมสองข้างทาง

ความแตกต่างของ Torcello กับ Murano และ Burano คือ ความงามที่ต่างกัน เมืองนี้ไม่ได้มีสีสันสดใส เพราะเป็นเมืองเก่าแก่ สีสันที่นี่จึงเป็นอิฐเป็นปูนมากกว่า สีน้ำตาลเข้ม-อ่อน ดูโบราณๆ

หากใครชื่นชอบความเก่า หรือตามหาความแปลกใหม่จากตึกสี ควรมาที่นี่ค่ะ มีโบสถ์โบราณ และทางเดินกว้างขวางกว่ามาก เดินเล่นได้อารมณ์เหมือนเดินสวนสาธารณะเลย

ตรอกไดอากอน เป็นท่าเดินที่แคบจัง a very narrow walking path #venice #venezia #path #walk #hike #adventure #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 31, 2015 at 1:12am PST

 

การเดินทาง

จาก เวนิซ โดยเรือ Line 12 ลงที่สถานี Torcello ค่า (ตารางเรือเดียวกันกับข้างบน)

ข้างบนคือตารางเรือ Line 12 ขาไป (เดินทางจาก Venice ไปเมืองอื่นๆ) ภาพดังกล่าวข้างล่างคือ ขากลับ ค่ะ (เดินทางเข้าไป Venice จากเมืองอื่นๆ ค่ะ)

 

เคล็ดไม่ลับ 🙂 

  • ซื้อตั๋วเรือหนึ่งวัน พักที่เวนิซ เดินทางเรือจาก Venice ไป Murano ตามด้วย Burano และ Torcello ได้เลยค่ะ คุ้มค่าตั๋ว ออกเดินทางตอนเช้า กลับเข้าเวนิซตอนเย็น ได้เห็นครบหมดเลย ประหยัดค่าเดินทางด้วย แต่ละเมืองไม่ใหญ่ค่ะ เดินๆ เมืองละ 2-4 ชั่วโมง ก็ทัน
  • การเดินทางอยากไปเมืองไหนก่อนก็ได้ เรือมีค่อนข้างบ่อยค่ะ วนไปวนมา 😀

Fly against the world #bird #nature #fog #venice #venezia #island #city #town #wanderfulminds #italy #trip #leisure #december #europe

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Dec 28, 2015 at 12:13am PST

 

  • สุดท้าย เดินดีๆ ระวังตกน้ำนะคะ

Better be careful! #watchout #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Jun 22, 2016 at 4:28am PDT

 

Filed Under: Italy Tagged With: เวนิซ

เปิดบัญชีธนาคาร Blocked Account Deutsche Bank

May 20, 2016 By KaiMook McWilla Malany 6 Comments

 

เวลาจะมาอยู่เยอรมัน โดยต้องใช้ วีซ่าเพื่อการศึกษา มาเรียนภาษา หรือมาเรียนศึกษาต่อ นอกจากจะต้องดำเนินการทำเรื่องขอวีซ่าให้เป็นไปตามขั้นตอนแล้ว ยังต้อง เปิดบัญชีธนาคารที่เยอรมันด้วย

พูดง่ายๆ คือ หนึ่งในเอกสารทั้งหมดที่จะทำให้ขอวีซ่าได้ คือ “หลักฐานการเงิน”

โดยทั่วไปที่ขอวีซ่าแล้วพูดถึงหลักฐานการเงิน เราสามารถใช้เอกสารรับรองทางการเงินจากธนาคารไทยได้ แต่!!! กรณีขอวีซ่าเพื่อการศึกษามาอยู่ที่เยอรมัน ใช้เอกสารรับรองทางการเงินของไทยไม่ได้นะคะ!!! ต้องเป็นบัญชีที่เยอรมันเท่านั้น!!!

 


ซึ่งหลักฐานการเงินเนี่ย มี 2 กรณี

  1. ได้ทุน
  2. จ่ายเอง

หาก (1) ได้ทุน: ผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า กรณีนี้ ไม่ต้องเปิดบัญชีค่ะ แต่ให้ “แสดงหลักฐานการได้รับทุนจากองค์กรหรือสถาบันของรัฐในประเทศเยอรมนี”

หาก (2) จ่ายเอง: ผู้เดินทางต้อง “เปิดบัญชีในเยอรมนีประเภท Blocked Account จำนวน 8,700 ยูโร” (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 24 กันยายน 2016) จำนวนเงินข้างต้น คือ ต่อปี นะคะ หมายความว่า อยู่ที่เยอรมัน 1 ปี โอนเงินไป 8,700 ยูโร หากอยู่น้อยหรือมากกว่านั้น ให้โอนไปตามจำนวนเดือนที่เราอยู่ (เดือนละ 725 ยูโร) แนะนำว่าโอนเดือนละ 800 ยูโร ปลอดภัยที่สุดค่ะ

**อย่าลืม โอนเงินเกินจำนวนที่กำหนด 50 ยูโร เป็นค่าโอนที่ธนาคารจะหักปลายทาง ด้วยนะคะ

ตัวอย่าง โอนเงินตามจำนวนที่เค้ากำหนดเป๊ะๆ 

  • อยู่ 6 เดือน โอน (725*6)+50 = 4,400 ยูโร
  • อยู่ 8 เดือน โอน (725*8)+50 = 5,850 ยูโร
  • อยู่ 10 เดือน โอน (725*10)+50 = 7,300 ยูโร
  • อยู่ 12 เดือน โอน (725*12)+50 = 8,750 ยูโร

ตัวอย่าง โอนเงินตามจำนวนที่เกินออกมา เพื่อความปลอดภัย และสบายใจ 

  • อยู่ 6 เดือน โอน (800*6)+50 = 4,850 ยูโร
  • อยู่ 8 เดือน โอน (800*8)+50 = 6,450 ยูโร
  • อยู่ 10 เดือน โอน (800*10)+50 = 8,050 ยูโร
  • อยู่ 12 เดือน โอน (800*12)+50 = 9,650 ยูโร

*แต่หากเป็นกรณีจ่ายเอง โดยมีผู้ออกค่าใช้จ่ายที่อาศัยในเยอรมนี ต้องมีหนังสือรับรองความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายตามมาตรา 66-88 ของกฎหมายว่าด้วยการพำนักอาศัย (กรณีนี้ไม่ขอกล่าวถึงนะ)

  • รายละเอียดเพิ่มเติมการเปิดบัญชี blocked account คลิกที่นี่

ทำไมต้องเปิด Blocked Account?

หลายคนอาจสงสัยว่าเปิดทำไมให้ยุ่งยาก เงินในบัญชีที่ไทยก็มีพอแล้ว บัตรเครดิตก็มี รูดปื๊ด รูดปื๊ด ก็ใช้ได้แล้ว แต่ทางรัฐบาลเยอรมันเค้าทำ เพื่อป้องกันคนมาอยู่ประเทศเค้าแบบผิดกฎหมาย และเพื่อยืนยันว่าจะมีเงินใช้จ่ายดูแลตนเองได้เพียงพอจนกระทั่งวันเดินทางกลับ ไม่ให้เป็นภาระเค้าค่ะ พูดอย่างเป็นทางการก็คือ “เพื่อแสดงว่านักศึกษามีเงินเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างการพำนักและศึกษาในเยอรมนี” 

 

เหมือนแอบโฆษณาธนาคารเบาๆ 55

 

จะเปิดบัญชี Blocked Account ได้อย่างไร?

Blocked Account เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Sperrkonto มีวิธีการเปิดคือ

  1. กรอกเอกสารที่ได้จาก Deutsche Bank
  2. ปริ้นเอกสารออกมา แล้วนำเอกสารที่กรอกแล้วไปให้สถานทูตเยอรมัน (ต้องนัดล่วงหน้า) ประทับตรายืนยันรับรองเอกสารให้
    • ทั้งนี้ต้องเซนต์เอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่สถานทูต
    • และอย่าลืมนำสำเนาพาสปอร์ตและพาสปอร์ตไปสถานทูตด้วยนะคะ
  3. ส่งเอกสาร 3 อย่าง (ตามที่โชว์ข้างล่าง) ไปตามที่อยู่ธนาคาร
    • เอกสารขอเปิดบัญชี Blocked Account
    • สำเนาพาสปอร์ต (ใบที่สถานทูตยืนยัน)
    • ใบยืนยันการตอบรับให้เข้ารับการศึกษา
  4. จากนั้นก็ รอ รอ รอ รอ รอ ค่ะ รอจนกว่าธนาคารจะตอบกลับมาว่าเปิดบัญชีให้เรียบร้อยแล้ว
  5. เมื่อธนาคารตอบกลับมาแล้ว ก็ไปโอนเงินเข้าบัญชีได้เลย
    • ให้โอนเงินเกินจำนวนที่กำหนด 50 ยูโร เป็นค่าโอนที่ธนาคารจะหักปลายทาง
  6. เสร็จเรียบร้อย ขอวีซ่าได้ 🙂
  • รายละเอียดเพิ่มเติมการเปิดบัญชี blocked account คลิกที่นี่

 

#Potsdam #neuespalais #palace #germany #university #wanderfulminds #sky #nature

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Apr 26, 2016 at 6:08am PDT

มหาวิทยาลัย Potsdam วิทยาเขต Neues Palais 

But life is unpredictable #Potsdam #palace #germany #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Apr 18, 2016 at 7:09am PDT

เป็นกำลังใจให้ค่า 😀 

 

 

Filed Under: Germany, Travelling Tips Tagged With: เบอลิน, เยอรมัน

St Petersburg, Russia 3

May 19, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

บนรถบัสมีทีวี มีเน็ต มีกาแฟตลอดทาง เป็นรถสองชั้น ที่นั่งสบาย แต่เล็กและแคบ ผู้โดยสารส่วนใหญ่สูงวัย ที่นั่งข้างๆ ฉันเป็นคุณป้าวัยเกิน 60 มากับคุณป้าวัยเดียวกันอีกสองคนกับคุณลุงคนหนึ่ง คุณป้าคนนี้ดูชำนาญรถมาก พอรถออกนะก็ลุกจากที่นั่งไปเอากาแฟมากินทันที เท่านั้นไม่พอ ป้าแกเอานิ้มจิ้มหน้าจอทีวีเสียบหูฟังดูหนังฉับพลัน เป็นภาพที่น่ารักมากๆ 😀

ระหว่างทางรถโดยสารไม่มีภาษาอังกฤษสักกะนิด ประกาศทุกอย่างเป็นรัสเซียทั้งหมด นั่งได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มีประกาศอะไรไม่รู้ยาวๆ ผู้คนต่างแห่หยิบเสื้อกันหนาวหยิบถุงมือมาใส่ รถจอดสนิท ทุกคนเดินลงจากรถทิ้งสัมภาระไว้ ฉันเดินตาม คาดว่าคงตรวจคนเข้าเมือง

เป็นจริงอย่างที่คิด ฉันยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่พลิกพาร์ตสปอร์ตไปมาอยู่นานพอสมควรจนแถวข้างๆ เริ่มสั้นลงเรื่อยๆ

“คนไทยไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ”* ฉันบอก เขาเหลือบตาลอดแว่นมองหน้าฉันใหญ่

“หรอ หึ” สั้นๆ ห้วนๆ แล้วก็ปั้มตราลงในเล่มยื่นพาสปอร์ตให้ฉัน

ปั๊มให้เรียบ ง่าย เชื่อกันง่ายแบบนี้ ไม่ถามอะไรเลย ดีจัง ไม่เหมือนพี่คนขับรถบัสที่ตรวจตั๋ว ซักฉันเสียจนฉันเอาเอกสารร่างสัญญาพันธมิตรไทย-รัสเซีย (ต้องขออภัย จริงๆ เรียกอย่างไรฉันไม่ทราบ) ที่ปริ้นออกมายื่นให้

ขึ้นรถได้ไม่ถึงสิบนาทีก็มีประกาศอะไรอีกแล้ว รถหยุด ผู้โดยสารบางคนมองหน้ากันงงๆ ทยอยกันเดินลงรถ ฉันหันไปถามคนข้างๆ เธอทำมือทำปากพูดเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้แต่ดูจากอากัปกิริยา เธอดูงงไม่แพ้กัน

พอลงไปถึง ตรวจพาสปอร์ตอีกครั้ง คราวนี้ฉันถึงบางอ้อคิดว่าคือตวรจขาเข้ารัสเซีย อันแรกตรวจขาออกจากฟินแลนด์

แล้วทำไมเจ้าหน้าที่คนแรกให้ฉันออกจากฟินแลนด์ล่ะ ฉันยังไม่ได้ยื่นบัตรประชากรฟินแลนด์ (Residence permit) ให้เขาเลย สงสัยคุณพี่เขาเข้าใจว่าคนไทยไม่ต้องมีวีซ่าเข้ายุโรปหรือยังไงนะ

แต่ยังไงก็ไม่รู้ล่ะ ฉันออกมาแล้ว เข้ารัสเซียแล้ว ขากลับไปฟินแลนด์ค่อยว่ากันอีกที

รถบัสจอดอีกรอบหลังจากขับไปได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงคราวนี้มีเข้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจบนพาสปอร์ตบนรถ ผู้โดยสารทุกคนยื่นพาสปอร์ตหน้าที่มีตราปั้มให้

 

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 19, 2016 at 8:18am PDT

 

การเดินทางที่ยาวนานจบลงเมื่อรถบัสจอดที่สถานีสุดท้ายที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ฝนตก

เปียกอีกแล้ว

กางเกงยีนส์เอามาตัวเดียว ใส่ทั้งทริป ทั้งเปียกทั้งชื้น วันนี้วันแรกอย่าเพิ่งเน่านะลูก

ฉันเดินประมาณ 30 นาทีมาถึงโรงแรมแรกที่จองไว้ หายากพอสมควรอยู่ในซอกในหลืบมืดๆ พนักงานโรงแรมย้ำขอตรวจวีซ่าฉันอยู่นั่นแหละ ฉันเลยหยิบบัตรวีซ่าธนาคารให้ขำๆ “คนไทยไม่ต้องทำวีซ่าเข้ารัสเซียค่ะ ฉันอยู่ไม่นาน ไม่เกินหนึ่งเดือน” ฉันพูดพร้อมฉีกยิ้ม

แต่ทว่าพนักงานโรงแรมไม่เชื่อ

ฉันยื่นเอกสารพันธะสัญญาไทย-รัสเซียให้แล้วเขาก็ไม่เชื่อ เขาบอกให้ฉันรอก่อนแล้วโทรศัพท์คุยอะไรก็ไม่รู้

ทำไงดีล่ะ

ขณะที่กำลังมึนๆ เหนื่อยๆ ครุ่นคิดเขาก็ยื่นกุญแจห้องให้พร้อมกล่าวขอโทษ

เย้ ค่ำคืนอันยาวนานได้จบลงแล้ว

ข อ น อ น ก ร น สั ก ส า ม ที 🙂

 

ภาพจาก theatlantic

 


ข้อควรรู้

  • คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวเข้ารัสเซียนะคะ
  • ข้อมูลจาก Royal Thai Embassy, Moscow ประเทศไทยและรัสเซีย ซึ่งมีข้อตกลงเรื่องการยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว “สามารถพำนักในประเทศอีกประเทศหนึ่งโดยไม่ต้องมีวีซ่าได้ในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน” นับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้าประเทศ
  • ทั้งนี้ หากการเดินทางมารัสเซียเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว คนไทยยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องขอวีซ่าเข้าประเทศรัสเซียอยู่นะคะ

 


บทความที่เกี่ยวข้อง คลิกที่ลิงค์ข้างล่าง

  • St Petersburg, Russia 1
  • St Petersburg, Russia 2

 

Filed Under: Russia Tagged With: วีซ่า, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Porto Venere

May 19, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

Porto Venere คืออะไร

  • Porto Venere เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่ง Ligurian ของอิตาลี ในเขต La Spezia อยู่ห่างจากเมืองมรดกโลกอย่าง Cinque Terre ไม่มากนักค่ะ
  • ในปี 1997 Unesco ได้ให้ Porto Venere เป็นแหล่งมรดกโลก เช่นกันค่ะ

ปราสาทนี้อยู่ที่ Porto Venere อิตาลี ค่ะเป็นเมืองท่าริมน้ำติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชื่อว่าปราสาท “Doria” (Doria Castle) เป็นครอบครัวดั่ง ร่ำรวย มีชื่อเสียงด้านการเมือง การทหาร และด้านเศรษฐกิจ ช่วงสมัยศตวรรษที่ 12-16 • A bird’s eye view small of a small castle in #portovenere • #hike #adventure #castle #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 16, 2016 at 4:38am PDT

Porto Venere มีอะไร

  • ลักษณะของ Porto Venere ไม่ต่างกับ Cinque Terre เท่าไรนักค่ะ ภาพรวมเมืองทั้งสองเป็นเมือง/หมู่บ้านริมน้ำ ความแตกต่างคือเอกลักษณ์ที่ต่างกันออกไปของ Porto Venere จะเห็นได้จากโขดหินริมน้ำ โบสถ์และปราสาทใกล้ๆ
  • จากภาพข้างล่าง จะเห็นว่าทางริมน้ำที่ Porto Venere เต็มไปด้วยโขดหิน และมีเก้าอี้ขั้นไว้ให้นั่งชมวิว (เดินเล่นริมน้ำ เหยียบย่ำชายหาดไม่ได้นะคะ) ขณะที่ที่ Cinque Terre จะมีริมน้ำให้ลงไปเดินเล่น นอนอาบแดดให้ตัวไหม้เกรียมหรือโชว์หุ่นได้อย่างสบายใจ 😛

 

Sit with me, free hug ? #hike #adventure #leisure #port

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 13, 2016 at 10:57am PDT

Be strong. Stand against the wind. #hike #adventure #leisure #nature #wanderfulminds #flower

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 11, 2016 at 1:22pm PDT

  • Porto Venere เป็นเมืองเล็ก สงบ สวยงามแบบธรรมชาติที่มีสถาปัตยกรรมแนวปราสาทโบราณ (เอกลักษณ์ยุโรป) ตรงสุดเขตแหลมของเกาะ

ตำแหน่งของ Porto Venere ในแผนที่อิตาลี

การเดินทางไป Porto Venere 

  • เดินทางได้โดยเรือ และรถบัส
  • หากนั่งเรือเริ่มได้จากหมู่บ้านใน Cinque Terre ลงที่ Porto Venere
  • ส่วนรถบัสนั่งจากแถวๆ สถานีรถไฟที่ La Spezia ใช้เวลาเดินทาง 25-30 นาที รถบัสสาย P ลง Porto Venere ราคา คนละ 2.5 ยูโร

กิจกรรม

  • ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ต่างกับที่ Cinque Terre ค่ะ เช่น นั่งเรือ พายเรือคายัค เดินชมโบสถ์ ปราสาท เดินป่า (ข้ามไป Cinque Terre ได้) พวกไฮกิ้งนี้มีเส้นทางให้เลือกมากมายค่ะ
  • เดินตามเส้นสี “แดงขาว”

 

Another path ahead where the trail leads you #wanderfulminds #hike #nature

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 10, 2016 at 12:43pm PDT

#nature #adventure #hike #mountain #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 14, 2016 at 4:24am PDT

 

  • รายละเอียดเพิ่มเติมดูที่ http://sanooktiew.com นะคะ 😀

Green land #hike #nature #sky #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 10, 2016 at 1:27pm PDT

ของฝาก รอบสองแล้ว #unescoworldheritage #cinqueterre #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 9, 2016 at 1:05am PDT


 

Filed Under: Italy Tagged With: เดินป่า, ไฮกิ้ง

Cinque Terre

May 14, 2016 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

Cinque Terre

เมือง Vernezza

คืออะไร?

  • Cinque แปลว่า “ห้า” (5)
  • Terre แปลว่า “ผืนดิน แผ่นดิน”
  • ทั้ง 5 แผ่นดิน มีลักษณะเป็นหมู่บ้านค่ะ แต่ละหมู่บ้านเชื่อมโยงกัน
  • ในอดีตแต่ละหมู่บ้านมีอาชีพหลักที่แตกต่างกันไป บางหมู่บ้านเน้นการทำไร่องุ่น บางหมู่บ้านเน้นการประมง ขณะที่บางหมู่บ้าน เน้นการผลิตขนมปัง
  • Cinque Terre ได้รับการยกย่องจาก Unesco ให้เป็นมรดกโลก เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีการเดินทางสะดวกมากๆ ค่ะ เดินทางได้ทั้งโดยรถไฟ รถบัส เรือ และทางเท้า
  • กิจกรรมหลักๆ ที่สามารถทำได้ คือ เดินป่า (ไฮกิ้ง) พายเรือ คายัค ว่ายน้ำ แต่ละหมู่บ้านตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร/แม่น้ำ ทั้งหมดเชื่อมกันไปมาหาสู่กันได้ 😀

Cinque Terre ได้รับการยกย่องจาก Unesco เป็น “มรดกโลก”

 

  • 5 เมือง/หมู่บ้าน คือ (จากภาพคือตัวอักษรที่มีกรอบสีแดงอ้อมไว้นะคะ)

  1. Monterosso al Mare
  2. Vernezza
  3. Corniglia
  4. Manarola
  5. Riomaggiore

ภาพนี้ถ่ายที่ 1 ใน 5 หมู่บ้านที่ Cinque Terre เรียกว่า Manarola เป็นมุมไม่สูงมาก ถ่ายตอนเดินปีนเขาไปดูไร่องุ่น ด้านหลังคนถ่ายคือหลังพิงหุบเขาค่ะ ยังผีนไม่สูงมาก ถ่ายได้มุมดี #mountain #village #leisure #hike #adventure #wanderfulminds #cinqueterre #laspezia #manarola

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 12, 2016 at 7:12am PDT


Cinque Terre มีอะไรไหม? น่าไปไหม?

  • หลักจากที่ฉันไปแล้วไปเล่า กลับมาเล่าเรื่องราวให้คนรู้จักฟังบ้าง  ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “Cinque Terre ก็งั้นๆ แหละ … ไม่มีอะไรเลย นอกจากภาพที่เห็น” คงต้องบอกว่าเป็นเหตุผลส่วนตัวและคำนิยามของคำว่า “มีอะไรไหม น่าไปไหม” นะคะ ไม่มีถูกหรือผิด ทั้งนี้ขึ้นกับว่า “ชอบทำอะไร” “ชอบกิจกรรมแบบไหน” มากกว่าค่ะ สำหรับฉันแล้ว Cinque Terre เป็นเมืองที่เดินทางง่าย เต็มไปด้วยธรรมชาติ เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก แต่ละเมืองที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง เหมาะอย่างยิ่งกับการดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ และการทำกิจกรรมกลางแจ้ง อาหารมีมากมาย ร้านค้าเล็กๆ น่ารักมีถมเถ
  • หากชอบช็อปปิ้ง ซื้อของ ชอบร้านใหญ่ๆ แบรนด์แรม ต้องบอกว่าที่นี่ไม่ใช่แหล่งเลยค่ะ แต่เป็นร้านเล็กๆ น้อยๆ ของท้องถิ่นมากกว่า
  • ย้ำอีกครั้งค่ะว่า หากชอบลุย ชอบผจญภัย รักกิจกรรมกลางแจ้ง ชอบความเงียบสงบ ชิวๆ สบายๆ ต้องบอกว่าที่นี่มีให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วน ไหนจะเดินป่า ข้ามเขา ปีนเขา พายเรือคายัค ว่ายน้ำ หรืออาบแดด เส้นทางไฮกิ้ง มีเยอะมว๊ากค่ะ เดินทั้งวันทั้งคืน เดินเป็นเดือนก็เดินไม่หมด ฉันเดินวันละ 6-8 ชั่วโมง ยังไม่พอเลย 🙂

#nature #adventure #hike #wanderfulminds #mountain #leisure

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 11, 2016 at 1:26pm PDT

Another top-hit trial to Corniglia from Vernezza #cinqueterre #italy #hike #trail #adventure #nature #wanderfulminds

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 16, 2016 at 4:40am PDT


มีแค่ 5 หมู่บ้าน หรอ?

  • Cinque Terre แปลว่า “ดินแดน 5 แห่ง” เป็นหนึ่งในพื้นที่ของ La Spezia ค่ะ ตรงนี้ Unesco ยกย่องให้เป็นมรดกโลก จากดินแดน 5 แห่ง/หมู่บ้าน เชื่อมกับแผ่นดินอื่นทั้งหมด เช่น ไป Porto Venere หรือ Campligia จะเดินป่าข้ามไปก็ได้ (วิวสวยมาก โดยเฉพาะริมน้ำ แต่ต้องเดินระวังตกเขานะคะ 555) หนือจะนั่งรถก็ได้ค่ะ (รถบัสที่นี่บริการโดยเครือบัส ATC)

วิวจากจุดชมวิวทางเดินเมือง Vernezza ไป Monterosso al Mare

The only beauty that lasts #nature #mediterranean #adventure #hike #wanderful

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on May 16, 2016 at 4:41am PDT

การเดินทาง

  • เดินทางจากไหนก็ได้ค่ะ ลงที่สถานีรถไฟ La Spezia จากนั้นสามารถ
  • นั่งเรือ หรือ
  • ต่อรถไฟ ไปหมู่บ้านที่เหลือได้

ตั๋ว

  • ฉันเลือกเดินทางด้วยเท้า และ รถไฟ
  • สำหรับรถไฟนั้น ตั๋วมีทั้งเป็น
  • ตั๋วรอบ (ซื้อที่ตู้) รอบละ 2.1-4 ยูโร
  • ตั๋วรายวัน 1 วัน ราคา 16 ยูโร
  • ตั๋ว 2 วัน ราคา 29 ยูโร
  • กรณีตั๋ว 1 วันและตั๋ว 2 วัน ซื้อที่ Cinque Terre Information ที่สถานีรถไฟ La Spezia (หรือสถานีอื่นภายในหมู่บ้านทั้ง 5 แห่ง)

  • สิทธิที่ได้รับจากตั๋ว 1 วัน และ 2 วัน
    1. เดินป่าชมวิวริมน้ำข้ามเขาเส้นยอดฮิต (สีน้ำเงิน) ฟรี
    2. เข้าห้องน้ำฟรี
    3. ขึ้นรถไฟได้ไม่จำกัด
    4. นั่งรถบัส ATC ภายใน Cinque Terre และสถานีอื่นๆ ที่กำหนดไม่จำกัด
    5. เส้นทางเดินป่าสีต่างๆ คืออะไร
  • เส้นทางเดินป่ามีสองสี: สีน้ำเงิน กับ สีแดง (ดูภาพแผนที่ข้างบน)
    1. สีน้ำเงิน คือ เส้นหลัก ง่ายกว่าสีแดง และชมวิวได้มากกว่า
    2. สีแดง เป็น เส้นฮิตรองลงมา แต่สวยงามไม่แพ้กันค่ะ (บางเส้นวิวสวยกว่าเยอะ แต่บางเส้นอาจเดินโหดกว่าบ้าง ต้องปีนป่ายบ้าง)

วิวริมน้ำเมือง Vernezza

 

ข้อควรรู้อื่นๆ 

  • เยี่ยมชมได้ที่ http://sanooktiew.com ทริปนี้ฉันไปกับ “สนุกเที่ยว” ค่ะ แม้จะเป็นครั้งที่สองของฉัน แต่ต้องบอกว่าสนุกไม่แพ้กัน เพราะได้ความรู้ใหม่ๆ และความสนุกนับไม่ถ้วนจาก “สนุกเที่ยว” (สนุกเที่ยว! มีเคล็ดลับเยอะมากที่ฉันไม่ขอเอามาแปะในเว็บตัวเอง น่าเกลียดค่ะ ต้องให้เครดิต SanookTiew เขา)

 

#cinqueterre #italy #twins #hiking #adventure #walkingtrail กาลครั้งหนึ่งที่อิตาลี

A photo posted by Kaimook Malany (@wanderful_minds) on Aug 7, 2016 at 12:52pm PDT

  • ตัวอย่างรายละเอียดต่างๆ ที่จะเห็นใน “สนุกเที่ยว! SanookTiew!”
    • เดินจากเส้นไหนไปไหนดี
    • เดินยังไง
    • แต่ละเส้นต่างกันยังไง
    • ระดับความหิน
    • ระยะทาง/ระยะเวลา
    • กิจกรรมอื่นๆ

ระหว่างทางเดินมีหญ้าเขียวขจีและดอกไม้หลากสีริมทางมากมายค่ะ

 

 

Filed Under: Italy Tagged With: อิตาลี, เดินป่า, ไฮกิ้ง

  • « Previous Page
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
  • …
  • 7
  • Next Page »

KAIMOOK MALANY

ฉันโตมากับการไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง ฉันสู้ ดิ้นรน ปรับตัว เป็นฉันในวันนี้ ที่ยิ้มเก่ง ช่างพูด กล้าถาม ชื่นชอบการพบปะผู้คน รักการเรียนรู้ หลงรักการผจญภัย และอยู่อย่างสันโดษได้ นอกจากจะเพราะครอบครัวที่รักและคอยให้การสนับสนุนฉันแล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะตัวฉันที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง (wander) สิ่งที่ฉันได้เจอ ศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้เป็นความน่าหลงใหล (wonderful) ที่ฉันอยากจะแลกเปลี่ยนแบ่งปัน ทุกอย่างที่เขียนขึ้นกลั่นออกมาจากใจฉันเองค่ะ (minds)

Join the Social Conversation

  • Facebook
  • Instagram
  • Pinterest

Copyright © 2015-2019 · Squiddy Productions · This site powered on interstellar cognitions · Privacy