wanderfulminds

When you wonder, your mind wanders, and you realize how wonderful everything is

  • Home
  • Stories & Guides
  • Facts & Tips
  • Brains & Minds
  • Languages
  • Education
  • Hire me!
  • Contact
You are here: Home / Archives for Finland

นิสัยคนฟินแลนด์ (2) “สีหน้า”

March 9, 2016 By KaiMook McWilla Malany 1 Comment

 

คนฟินแลนด์ไม่ค่อยยิ้ม หรือแทบไม่ยิ้ม

ชาวฟินน์มีหน้าเดียว จะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห เศร้า เจ็บ หรือปวดอึ ก็หน้าเดียว … นิ่ง สงบ ไร้อารมณ์

 

ภาพจาก facebook: funland

สีหน้าเพื่อนฟินน์: สุข เศร้า เฉยๆ โกรธ งี่เง่า กังวล หิว กลัว บ้า ทึ่ง หมดหวัง ระทมทุกข์ ขี้เกียจ งง อาย

 

เพื่อนฉันมีรูมเมทเป็นคนฟินแลนด์ ทั้งห้องมีกัน 3 คน แต่ชาวฟินน์นั้นไซร์ จะให้ทักทาย กล่าว สวัสดีแค่ไหน เขาก็ไม่ตอบคุณ! ลักษณะห้องคือมีห้องนอนส่วนตัว แต่ห้องน้ำกับห้องครัวใช้รวมกัน หากคุณอยู่ในครัว หรือบริเวณส่วนรวม คนฟินแลนด์จะไม่ออกมาให้เห็นหน้าโดยเด็ดขาด ถ้าเผอิญยืนอยู่ในครัวอยู่แล้ว แล้วเพื่อนชาวฟินน์เปิดประตูห้องเข้ามา เขาจะรีบหลบเดินดุ่ยๆ เข้าไปในห้องทันที

 

ภาพจาพ facebook: finnish nighmares

 เมื่อเพื่อนฟินน์อยากออกจากห้อง แต่มีเพื่อนร่วมห้อง/เพื่อนบ้านอยู่ตรงทางเดิน (เพื่อนฟินน์หัวสีน้ำเงิน – ธงชาติ) 🙁

“มอย” (เป็นคำทักทาย แปลว่า “สวัสดี” ภาษาฟินแลนด์) เพื่อนฉันทัก

“…” คือคำตอบ ไม่มีแม้แต่จะมองหน้า

“…”

“…”

“…”

กลับสู่ความเงียบเช่นเคย

 

ภาพจาก facebook: finnish nightmares

เพื่อนฟินน์ล้ม แล้วมีคนเห็น -> อายมาก

เพื่อนฟินน์ล้ม มีคนถามว่าให้ความช่วยเหลือ “เป็นไรไหม ให้ช่วยอะไรไหมคะ/ครับ” -> อายมาก ตายทั้งเป็น

 

ตอนนั้นเพื่อนฉันชาวมาเลเซียอยู่ในห้อง ประมาณหกโมงเย็น เธอได้ยินเสียงคนเปิดประตูหน้าบ้าน และเหมือนมีคนเข้ามาในห้อง เสียงคนสองสามคนดังขึ้นมาเป็นภาษาฟินแลนด์ เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาในห้อง เธอเปิดประตูออกไปดู เห็นรูมเมทชาวฟินแลนด์ของเธอนอนเจ็บ มีเลือดออกที่เเขนเป็นรอยถลอก ขาหัก

เมทชาวฟินแลนด์ของเธอนอนเจ็บอยู่ในห้องมาได้สักพักแล้ว จักรยานล้ม แต่ไม่บอกเธอ พอเพื่อนชาวมาเลถามว่าทำไมไม่บอกล่ะจะได้ช่วยเรียกพยาบาลให้ เธอไม่ตอบใดๆ จนเพื่อนฉันคะยั้ยคะยอ ชาวฟินน์ตอบว่า “ไม่อยากรบกวน” เธอตอบด้วยสีหน้าแนบนิ่ง

หากเห็นชาวฟินน์ล้ม อย่าได้เข้าช่วยเหลือ เพราะเขาจะอายมากขึ้น อย่าได้แม้แต่ถามเพราะเขาจะเสียเซลฟ์ อย่าได้มอง เพราะเขาจะรู้สึกอยากจะมุดหิมะให้หายไป ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไทยมุง แต่โปรดเดินหนี

😛

 

 


 

บทความเชื่อมโยง คลิกที่นี่ นิสัยคนฟินแลนด์ (1)

 

 

Filed Under: Finland Tagged With: นิสัยคนฟินแลนด์

ภาษา: ชาวฟินน์ผู้สับสนทางเพศ

March 7, 2016 By KaiMook McWilla Malany 2 Comments

 

ข้อดีหนึ่งของการเรียนภาษาฟินแลนด์คือภาษาฟินแลนด์นี้มีการเรียงประโยคแบบประธานขึ้นก่อนกริยาเหมือนภาษาไทย คือ “ประธาน + กริยา + กรรม” เช่น

  • ประโยค -> “ฉันพูดภาษาอังกฤษ”
  • เขียนเป็นภาษาฟินแลนด์ได้ว่า -> “Minä puhun englantia.”
  • เรียงเหมือนในภาษาอังกฤษคือ -> “I Speak English”

ดูง่าย ไม่มีอะไรน่าสันสน

เรื่องยาก คือ เพศในภาษา

โดยทั่วไปภาษาตะวันตกมักมีเพศ เช่น ภาษาฝรั่งเศส “เลอ เชียง (le chien)” หรือ หมา เป็นเพศชาย “เลอ ลีฟว (le livre)” คือ สมุด ก็เป็นเพศชาย “ลา เมซง (la maison)” แปลว่า บ้าน เป็นเพศหญิง “ลา วาช (la vache)”  แปลว่า วัว ก็เป็นเพศหญิง ขณะที่ภาษาเยอรมัน มี 3 เพศ นอกจากเพศหญิง เพศชายแล้ว ยังมีเพศกลางด้วย

แต่ก็คงไม่แปลกถ้าภาษาฟินแลนด์จะไม่มีเพศ เพราะภาษาอังกฤษยังไม่มีเลย ภาษาไทยก็ไม่มี

แต่!! ที่น่าสนใจคือ

แม้ภาษาจะไม่มีเพศ อย่างน้อยทุกภาษาก็มีการแบ่งเพศของสรรพนาม หรือบุคคลที่เราอ้างถึง ภาษาไทยใช้คำว่า “เธอ” เรียกแทนเพศหญิง คำว่า “เขา” แทนเพศชาย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “she” แทนเพศหญิง และ “he” แทนเพศชาย แต่ภาษาฟินแลนด์มีคำเดียว คือคำว่า “hän” ใช้แทนทั้งสองเพศ 

  • เธอ = “hän”
  • เขา = “hän”

ภาพจาก nomotheon (blogspot)

คำว่า “han” คำเดียวแทนมนุษย์ทุกเพศ ชาย หญิงไม่เกี่ยง

บ่อยครั้งที่ได้คุยกับคนที่นี่ แล้วคู่สนทนาของฉันพูดถึงบุคคลที่สามโดยใช้คำสรรพนามคำเดียวแทนทั้งชายและหญิง ทำให้แยกไม่ออกว่าเขาหรือเธอผู้นั้นคือใคร หรือเพศใดกันแน่

ครั้งหนึ่ง “มิกโกะ” เพื่อนสาวชาวฟินแลนด์ของฉันชูพวงกุญแจน่ารักๆ อันหนึ่งขึ้นให้ฉันดูพร้อมรอยยิ้มเขิลอาย “น่ารักไหม” เธอถามฉัน “คนที่ฉันกำลังคุยด้วยอยู่ “hän” ทำให้”

แล้ว “hän” คือใครอ่ะ?

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในร้านงานฝีมือ เป็นงานเย็บปักถักร้อยที่คนจากต่างเมืองเอามาตั้งโชว์ไว้ฝากขาย ฉันเข้าไปในร้าน ได้คุยกับพนักงานน่ารักคนหนึ่ง พนักงานสาวคนนั้นเดินตรงดิ่งมาที่ฉัน พาฉันไปดูกำไลและต่างหูคู่สวยวางเรียงร้อยกันบนโต๊ะ “งานนี้น่าสนใจมากนะ คุณต้องซื้อ” เธอบอกฉัน “คนที่ทำงานนี้พิการทางสายตา “hän” สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่เด็ก ตอนประมาณ 14ปี “hän” เกิดอุบัติเหตุ” เธอเล่า

แต่ “hän” นี่เพศไหนหืออออ!!

พอบอกให้ช่วยแปลให้ฟังหน่อย เธอก็ใช้ว่าคำว่า “ฮี” กับ “ชี” สลับกันไปหมดเลย บางประโยคใช้ “ฮี” บางประโยคใช้ “ชี”

และนี่เองเลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของคนฟินแลนด์ เมื่อชาวฟินน์ต้องใช้ภาษาอังกฤษ สมองจะสั่งการให้เขาหรือเธอใช้สรรพนาม “ผิด” อยู่บ่อยครั้ง เรียกแทนสามีของตนว่า “เธอ” แทนภรรยาของตนว่า “เขา” เรียกคุณยาย เรียกคุณป้าว่า “เขา” เรียกคุณตา หรือคุณลุงว่า “เธอ”

เรียกผิดไปหมด เพศไหนก็ไม่รู้

 

“ไข่มุก วันนี้ฉันต้องไปเยี่ยมยายที่นอกเมืองล่ะ เขาป่วย” มิกโกะบอก 😛

 


 

อ่านต่อ: ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาฟินแลนด์ คลิกที่นี่

 

 

Filed Under: Finland Tagged With: ภาษาฟินแลนด์

นิสัยคนฟินแลนด์ (1)

March 5, 2016 By KaiMook McWilla Malany 1 Comment

 

“ถ้าพูดออกมาแล้วไม่ได้อะไร ไม่มีสาระ ก็อย่าพูด” ฉันได้ยินประโยคนี้ตั้งแต่เล็กๆ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันก็ไม่ค่อยพูดนะ ไม่รู้ว่าไม่มีอะไรจะพูดหรือว่าไม่มีสาระอะไรในหัวให้พูดก็ไม่รู้

แต่พอโตขึ้นมาฉันกลับพูดมากพูดเยอะพูดเก่งขึ้นเรื่อยๆ

และฉันก็เชื่อด้วยนะว่าที่ฉันพูดน่ะ “มีสาระ” 😛

ถ้าใครเคยไปประเทศแถบตะวันตกมาก่อนจะคุ้นเคยกับการทักทายคนแปลกหน้า “ว่ายังไง เป็นไงบ้าง” “สบายดีไหม” หรือ “อากาศดีนะ” จากนั้นก็ต่อบทสนทนาคุยกันเป็นตุเป็นตะเหมือนรู้จักกันดียังไงยังงั้น แล้วค่อยแยกกันไป

ฉันว่ามันคือการผูกมิตรสร้างจิตสัมพันธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง ช่วยให้คลายเหงาและที่สำคัญคืออาจได้เพื่อนที่ดีมาอีกสักคนสองคน

แต่ทำแบบนี้ที่ฟินแลนด์ไม่ได้เลย

อย่าริอาจลอง!

ตัวการ์ตูนในภาพบอกนิสัยหนึ่งของชาวฟินน์ได้ดี คือ คนที่นี่ขี้อาย!! มากที่สุด!!

ฟินน์คือหัวสีน้ำเงินนะคะ (มาจากธงชาติสีขาว-น้ำเงิน) **สังเกตุสีหน้าตัวการ์ตูนหัวน้ำเงิน**

ภาพจาก Finnish Nightmares

เมื่อมีใครแปลกหน้ามานั่งข้างๆ แล้วเริ่มพูดด้วย … ปฏิกิริยาและหน้าตาชาวฟินน์เป็นแบบที่เห็น

เมื่อวันก่อนฉันไปซักผ้ามา ตึกที่ซักผ้าอยู่ห่างจากตึกที่ฉันอยู่ออกไปสองช่วงตึก ฉันเดินเข้าไปเจอผู้หญิงหัวทองผิวขาวคนหนึ่ง ดูก็ออกว่าคนฟินแลนด์แน่นอน ฉันยิ้มให้เธอ เธอมองมาที่ฉันแล้วหันหน้าหนี ไม่แม้แต่จะทักทายกลับ ฉันกล่าวสวัสดี เธอมองหน้า แล้วหลบสายตา

เป็นอะไรรึป่าวนะ

แต่ฉันก็ต้องขอให้ช่วยเรื่องเครื่องอบผ้าเพราะฉันอ่านวิธีใช้ไม่ออก

“ขอโทษนะคะ ฉันอ่านภาษาฟินแลนด์ไม่ออก ช่วยฉันกับเจ้าเครื่องนี้หน่อยได้ไหม” ฉันยิ้ม

“อือ” เธออึมอัมแบบไม่มองหน้าฉัน

จากนั้นเธอก็ขมุกขมิกจัดแจงผ้ากับเครื่องนั่นเสร็จสรรพ หมุนเจ้าปุ่มบนเครื่องอยู่ครู่ใหญ่ ระหว่างนั้นพูดออกมาแค่ “เปลี่ยนภาษา กด กด กด”

ฉันเชื่อว่าเธอพูดภาษาอังกฤษได้นะ และเธอก็ไม่ได้รังเกียจที่จะช่วยเหลือฉันด้วย (อันนี้ดูจากกริยาท่าทางนะ ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง)

ฉันกล่าวขอบคุณแล้วยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้ง พร้อมแนะนำตัว บอกว่าฉันมาใหม่ เธอมองหน้าฉันอีกครั้งด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า “อย่าคุยกับฉันเลย” 

 

 “คนที่นี่เป็นแบบนี้แหละ เข้าถึงยาก”

“คนฟินแลนด์พูดน้อย อย่าถือสา” 

“พวกเราชาวฟินน์ขี้อาย” 

 

ใครๆ ที่อยู่ที่นี่พูดกันเสมอว่า “Finns are as cold as the weather.” (คนฟินแลนด์เยือกเย็นเหมือนอากาศ) อากาศที่หนาวสั่นมีอิทธิพลต่อจิตใจอันหนาวเหน็บอย่างนั้นเชียวหรือ?

ถ้าเป็นจริงอย่างนั้นคงไม่แปลกที่คนไทยใจร้อน 😀

 

 

Filed Under: Finland Tagged With: นิสัยคนฟินแลนด์

รักใคร ต้องอ่าน! ที่มาความรัก

February 14, 2016 By KaiMook McWilla Malany 2 Comments

 

ภาพจาก vihtibowling

วันนี้เป็นวันแห่งความรัก ภาษาอังกฤษกล่าวสุขสันต์วันนี้ด้วยคำว่า Happy Valentine’s Day ภาษาฟินนิชใช้ว่า Hyvää Ystävänpäivää! (ฮือวา อูสตาว่านไป๊หว่า) ฟังดูยาวไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไร แต่ในเชิงความหมายมันลึกซึ้งและให้มิตรภาพดีๆ กับคู่สนทนายิ่งนัก

ตำนานทั่วไป

ชาวตะวันตกโดยทั่วไป เฉลิมฉลองวันนี้ด้วยการถ่ายทอดข้อความแทนใจ ให้ช็อกโกแลต ดอกไม้ เขียนการ์ดแสดงความรัก ค่านิยมนี้ได้ส่งต่อมายังประเทศตะวันออกและมีการฉลองกันถ้วนหน้า มองไปที่ไหนก็เห็นแต่ดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต ลูกโป่งรูปหัวใจพลอยให้ใครที่ได้เห็นรู้สึกเบิกบานไปด้วย

ตำนานกล่าวว่า คำว่า วาเลนไทน์ มาจาก Saint Valentine นักบวชชาวคริสต์ที่ฝ่าฝืนกฎเรื่องการแต่งงาน แอบประกอบพิธีกรรมให้กับคู่หนุ่มสาวอย่างลับๆ ล่อๆ กระทั่งถูกตัดสินประหารชีวิต ระหว่างถูกจำคุก เขาตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นลูกสาวของเพื่อนร่วมกรงขังกับเขา ก่อนวันประหาร เขาลงนามท้ายจดหมายเขียนถึงหญิงคนรักว่า “From your Valentine” (วาเลนไทน์ของคุณ) ให้เป็นประโยคดังติดปากคนทั่วไปที่ใช้มาถึงทุกวันนี้ แทนความหมายว่า “จากคนรักของคุณ”

สำหรับชาวฟินน์

ตำนานวันแห่งความรักของชาวฟินน์แตกต่างออกไปจากเรื่องราวที่เล่าขานกันอย่างสิ้นเชิง ความรักของคนฟินแลนด์เกิดจากการรวมตัวของ 3 คำ คือ “ดี” “เพื่อน” และ “วัน” Hyvää Ystävänpäivää! วาเลนไทน์ คือ วันแห่งมิตรภาพที่เรียบง่าย ดื่มกาแฟ กินขนมกับเพื่อนๆ และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน

วันนี้ที่ฟินแลนด์มีมาไม่นาน ได้รับการบันทึกลงปฏิทินอย่างเป็นทางการก็เมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมาในปี 1987 นี่เอง

เพราะความเรียบง่ายและเพราะความรักของชาวฟินน์ไม่ได้เป็นความรักในเชิงความหมายฉันชู้สาวแบบ St. Valentine จะให้หาการ์ด หาดอกไม้ หรือช็อกโกแลตแทนรูปหัวใจแทนความรักก็ไม่ได้หาง่ายๆ เขียนเอง ทำเองอาจจะง่ายกว่า

 

ภาพจาก jiipeenetti

มูมิน: “มีสามคำจะให้ … เป็นเพื่อนกันนะ”

นอกจากคำว่า Hyvää Ystävänpäivää! ยังมีประโยคเด็ดอีกประโยคหนึ่งคือ “Kolme sanaa sinulle … ole ystävä minulle!” (โกลเหม่ ซานา ซินูลเล่ โอเล อูสตาวา มินูลเล่) ที่ชาวฟินน์ถ่ายทอดให้กัน แปลเป็นไทยได้ว่า “มีสามคำจะให้ … เป็นเพื่อนกัน(นะ)”

 

Filed Under: Finland Tagged With: ฟินแลนด์

ต่างยุคต่างสมัย

October 20, 2015 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

เมื่อเกือบสิบปีก่อน กว่าจะได้โทรกลับไทยแต่ละทีจากต่างประเทศนี่ลำบากแสนเข็ญ ตระเวนหาร้านขายบัตรโทรศัพท์ทางไกล กดหมายเลขรหัส ค่าโทรก็แพงแสนแพง ตอนนี้อะไรๆ ก็สะดวกไปหมด แค่คลิกเดียว กดปุ๊ป ติดปั๊ป ไม่ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์เพิ่มด้วย มีอินเตอร์เน็ตไร้สายแทบทุกที่ไป

ไหนจะแอพลิเคชั่นมากมายสมัยนี้ที่ทำให้ไกลเหมือนใกล้ ครอบครัวที่ห่างกลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม คนที่รักก็ไม่ไปไหน อยู่กับเราเสมอ (กรณีไม่ปันใจไปให้คนอื่นนะคะ)

เขียนไปก็ทำให้ฉันนึกถึงหนังจีนสมัยก่อน

ตัวละครเดินทางออกจากบ้าน หอบหิ้วเสบียงอาหาร เดินข้ามป่าข้ามเขาท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ยิงธนูจับกวางจับกระต่าย ผิงไฟทำอาหาร นอนบนใบไม้ในถ้ำ …

เขาทำได้อย่างไร

ฉันล่ะสงสัยจริง

แค่ฉันตอนนี้นะ ฉันเดินวันละประมาณ 10-12 กิโลเมตรตามแนวป่าลัดเลาะเข้าเมืองเพื่อเข้าไปมหาวิทยาลัยและซื้อของในเมือง แล้วเดินกลับมาบ้านพัก ท่ามกลางอากาศที่กำลังแปรปรวน ลม ฝน และแดดในวันเดียวกัน แบกหนังสือ และเสบียงอาหารกลับบ้าน ก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว ให้เดินบางวันน่ะพอไหวค่ะ แต่ให้เดินแบบนี้ทุกวันอย่างที่ทำอยู่ คงต้องขอลา ด้วยเหตุผลสามประการ ดังนี้

  1. เวลา
    • ฉันเรียน 8 โมงเช้า เดินไปเรียนใช้เวลา 40 นาที ให้ตื่นนอนมาอาบน้ำ ทำอาหารกินเอง ออกจากบ้าน 7 โมง แล้วเดินลากสังขารไปมอ ฉันขอลา ไหนบางวันต้องเดินเข้าเมืองซื้อนมซื้อผลไม้ แล้วกลับมาทำการบ้าน เขียนงานให้เสร็จ ฉันขอเอาเวลาที่มีอ่านหนังสือดีกว่านะ
  2. อากาศ
    • อากาศตอนนี้แปรปรวนเสียเหลือเกินค่ะ ถือร่ม ใส่เสื้อกันหนาว สักพักก็ร้อน เดินเยอะก็เหงื่อออก ตกเย็นลมแรง ขณะที่พอหน้าหนาวเข้ามาเยือนฉันต้องเดินบนหิมะกับพื้นที่ลื่นๆ ท่ามกลางอากาศติดลบ 30 หรือ 40 องศา กว่าจะถึงบ้านคงหน้าลอกเป็นแผ่นพอดี
  3. เบื่อ
    • อันนี้สำคัญมาก มันคือความจืดชืดไร้สีสันของบรรยากาศริมทางเดิน ป่าไม้ตามทางที่สูงเขียวไร้สีอื่นในยามฤดูใบไม้ผลิ และพื้นดินอันขาวโพลนปกคลุมด้วยหิมะยามฤดูหนาว เหมือนเดิมเป๊ะแบบนี้ตลอดทาง ไม่มีสิ่งอื่นใดมาดึงดูดหรือเป็นจุดเด่นอะไรให้จดจำเสียเลย เดินแบบนี้ทีไร ฉันรู้สึก “อิ่ม” กับธรรมชาติ ถึงมอทีไร …หลับทุกที

ข้อสามเรื่องความเบื่อเนี่ย ขอแก้ตัวนะคะว่าถ้าไม่มีภารกิจทางโลกอะไรที่ต้องทำ หรือการงานที่ต้องเผชิญอยู่อย่างทุกวันนี้ ฉันจะรักและมีความสุขกับมันมาก ดังนั้นฉันจึงต้องหาความสมดุลของชีวิตให้ได้

กลับไปเรื่องหนังจีน ฉันล่ะทึ่งกับตัวละครเป็นที่สุด ไม่ใช่แต่ในหนังจีนนะ คนที่อพยพหรือที่ต้องดิ้นรนในดินแดนใหม่ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง ยิ่งน่าทึ่งไปใหญ่ ไหนจะปัจจัยภายนอก เสบียงอาหารและอากาศดังกล่าวไปแล้วเอย ยังจะมีปัจจัยภายใน ความห่างไกล ความเหงา และความคิดถึงเข้ามาแทรกอีก

ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนอึดกว่าคนสมัยนี้

หรือคนเราทั้งสองยุคอึดเหมือนกัน

แต่ดิ้นรนกันคนละเรื่องก็ไม่รู้

 

 

Filed Under: Finland Tagged With: ฟินแลนด์

สอนคนให้ตกปลา หาปลาให้เขากิน

September 12, 2015 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีมากเป็นอับดับต้นๆ ของโลก บ้างว่าเป็นอันดับหนึ่ง บ้างว่าเป็นอันดับสองหรือสาม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ระบบการศึกษาของประเทศที่หนาวเหน็บติดลบประเทศนี้ก็ติดอันดับ 1 ใน 3 เสมอมา

สาเหตุนั้นมีหลายอย่าง ประการแรกคือประชากรที่มีน้อยนิด ทั่วประเทศประมาณ 5.4 ล้านคน น้อยกว่าประชากรเมืองกรุงฯ เสียอีกค่ะ ด้วยเหตุที่ประชากรน้อย การจัดการการดูแลย่อมง่ายกว่าเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า “คนน้อยดูแลง่าย คนมากปัญหามากไปตามกัน” แต่การที่มีคนมากก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาเสมอไปนะคะ ตัวอย่างเช่น บางรัฐในสหรัฐอเมริกาผู้คนมากมายล้นเหลือ แต่การดูแลและการจัดการเขาก็เป็นไปได้ด้วยดี

สิ่งสำคัญฉันเชื่อว่าคือการดูแลบุคลาการ หากประชากรมีความสุข มีความรู้พอที่จะหาเลี้ยงตนเอง มีพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่มีความเหลื่อมล้ำใดๆ ความเสมอภาคก็เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ “ลี” พ่อชาวอเมริกันที่ฉันเคารพรักคนหนึ่งถามย้ำเตือนฉันเสมอว่า

“ในฐานะผู้นำ ลูกจะเลือกอะไร ระหว่าง

  1. สอนคนให้ตกปลา กับ
  2. หาปลาให้คนกิน“

คำถามนี้ไม่มีคำตอบไหนถูกคำตอบไหนผิดค่ะ แต่มันแสดงทัศนคติหลายอย่างโดยเฉพาะต่อความเป็นผู้นำและความห่วงใยบุคคลภายใต้การดูแลของเรา

การสอนคนให้ตกปลา คือการให้ความรู้แก่คนอื่น เพื่อให้เขาคนนั้นสามารถเลี้ยงชีพดำรงตนอยู่ได้ด้วยตนเอง แต่หากเราคอยแต่จะหาปลาให้เขากินแล้วนั้น เขาคงต้องคอยพึ่งเราตลอดเวลา ทำอะไรเองไม่เคยเป็น แล้วเขาคนนั้นจะอยู่ได้อย่างไร จะหาเลี้ยงครอบครัวคนอื่นได้อย่างไร หากไม่ใช่แบมือขอเราตลอดไป

“แล้วที่ฟินแลนด์เขาดูแลบุคลากรของเขาได้อย่างไรล่ะ”

คำตอบคือ เขาสอนประชากรของเขาให้ตกปลาเป็น เขาเน้นหนักด้านระบบการศึกษา พัฒนาระบบอย่างจริงจัง และสนับสนุนบุคลากรด้านนี้อย่างมาก … มากเสียจนอาชีพครูที่นี่คืออาชีพที่มีการสอบเข้าแข่งขันสูงและเป็นอาชีพที่มีเกียรติสุดๆ รายได้ตอบแทนดี

ประเด็นถัดมา คือ ความเท่าเทียมกัน ที่ฟินแลนด์เด็กทุกคนได้รับการปลูกฝังเรื่องความเท่าเทียม จะเป็นใคร มาจากไหน เชื่อชาติอะไร ไม่เกี่ยง ทุกคนคือ “คน” และทุกคน “เท่าเทียมกัน” เสมอ

ความเท่าเทียมทำให้ไม่เกิดการเลือกปฏิบัติ และความเท่าเทียมยังทำให้การบริหารงานต่างๆ ดำเนินได้อย่างง่ายดาย ทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียง ทุกคนมีสิทธิ์ถาม ทุกคนจ่ายค่าภาษีเหมือนกัน และได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน หากเด็กคนใดเรียนช้า เขาคนนั้นย่อมได้โอกาสที่พิเศษออกไปจากคนอื่น มีครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อหาจุดอ่อนและปรับพื้นฐานเด็กคนนั้นให้เท่าเพื่อนร่วมห้อง โดยที่เด็กคนนั้นไม่ต้องออกไปจ้างครูพิเศษหรือเรียนพิเศษข้างนอกให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และด้วยความเท่าเทียมที่กล่าวมานี่ เพื่อนในชั้นก็ไม่ล้อเด็ก ตัวเด็กก็ไม่รู้สึกด้อยไปกว่าใคร

ประการสุดท้าย คือ ความเชื่อใจ ที่ฉันเชื่อว่าสำคัญมากไม่แพ้ข้ออื่นๆ เลยนะ เพราะเป็นการฝึกการตัดสินใจด้วยตนเอง และเป็นการเคารพการตัดสินใจของคนนั้นด้วย

คำว่าเชื่อใจที่นี้ คือ หากแม่ถามลูกว่า “ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง” ลูกตอบว่า “ทำเสร็จแล้ว” นั่นหมายความว่า “เสร็จแล้วจริงๆ” หากลูกโกหก ลูกรู้เองว่าตนเองจะได้รับบทเรียนอย่างไร หรือ หากนักเรียนเล่นโทรศัพท์ในคาบเรียน ครูถามว่า “เล่นอะไร” เด็กตอบว่า “เปิดดูคำศัพท์ในโทรศัพท์” ครูก็เชื่อและไม่ถามอะไรอีก ครูเชื่อใจเด็ก เพราะหากเด็กโกหก เด็กคนนั้นรู้ตัวเองดี และรู้จักละอาย

ทั้งหมดนี้เกิดจาก … ความเชื่อใจ

 

Filed Under: Finland Tagged With: นิสัยคนฟินแลนด์, ฟินแลนด์

สายน้ำที่เหือดแห้งตามกาลเวลา

September 5, 2015 By KaiMook McWilla Malany 1 Comment

 

เสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นมาจากข้างบนบ้านพักข้างๆ หลังที่ฉันอยู่ พลันให้นึกถึงคุณลุงคนหนึ่งที่ฉันเจอที่โรงอาหารคณะ ที่มหาวิทยาลัยท่ีฉันเรียนอยู่ที่เมืองไทยก่อนบินมาอยู่นี่ คุณลุงคนนี้อายุประมาณ 65 ปีแล้ว ฉันไม่ทราบชื่อลุงแต่ขอเรียกคุณลุงว่า “ลุงยิ้ม” แล้วกัน

ครั้งแรกที่เจอคุณลุงคือที่งานประชุมวิชาการที่จัดขึ้นที่ใจกลางเมืองกรุง ฉันไปพรีเซนต์งาน ลุงยิ้มไปเข้าร่วมฟัง ด้วยความที่ลุงยิ้มอายุห่างจากนิสิตนักเรียนระดับปริญญาตรี โท และเอกมาก ทุกคนจึงเข้าใจว่าลุงยิ้มเป็นอาจารย์หรือบุคคลในแวดวงวิชาการ

ถึงเวลาพักเบรค ทานอาหาร ลุงยิ้มเดินตรงมาที่โต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ ใกล้ที่สุดกับขอบประตู ฉันยิ้มให้ลุง “นั่งด้วยกันได้นะคะ”

ลุงเดินมานั่งตรงข้ามฉันพอดี ครั้นได้คุยกับลุงยิ้ม ก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วลุงเป็นนิสิตปี 1 ทุกคนบนโต๊ะอาหาร แม้กระทั่งอาจารย์ที่นั่งอยู่อึ้งไปพร้อมๆ กัน ทุกคนแปลกใจที่ลุงยังเลือกเรียนหนังสือ “ไม่มีอะไรทำแล้ว ตอนเด็กๆ ลุงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ครอบครัวลุงไม่มีฐานะ ตอนนี้มีโอกาส เลยมาเรียน” ลุงอธิบาย

“ลุงชอบเรียนนะ พยายามเข้าเรียนตลอด ไม่เข้าใจลุงก็ถามครู ทำข้อสอบไม่ได้ไม่เป็นไรหรอก เพราะลุงมาเรียนเอาความรู้”

ฉันเห็นด้วยกับลุงนะคะว่า ความรู้สำคัญที่สุด หาใช่คะแนนสอบไม่ แต่ถ้าสอบไม่ได้เพราะความรู้ไม่พอ อย่างนี่ก็ไม่ไหวค่ะ ต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมแล้ว

ลุงยิ้มเล่าให้ฉันฟังต่อว่า ลุงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จากสุราษฎ์ ทุกสัปดาห์ เพื่อมาเรียนหนังสือ ฉันล่ะเคารพลุงเลยค่ะ เพราะฉันก็เชื่อว่าระยะทางกับอายุไม่ใช่อุปสรรคที่ขวางกั้นองค์ความรู้เลย

“ประสบการณ์หาได้ไม่ครบฉันใด การเรียนรู้และการศึกษาก็ไม่มีวันสิ้นสุดฉันนั้น”

ฉันอยากให้ลุงเป็นแบบอย่างให้กับเพื่อนๆ ทุกคนและผู้อ่านทุกท่านที่คิดว่าตนเอง “แก่เกินไปแล้วที่จะเรียน” “อายุมากแล้วเรียนไม่ไหว” หรือ “คิดว่าตนเองหัวไม่ทันเด็กสมัยนี้”

อีกอย่างฉันก็ไม่คิดว่าเราควรใช้อายุเป็นข้อจำกัดทางการศึกษา

  • เด็ก ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิต เรียนรู้ที่จะล้ม ลุก คลุก คลาน ผูกเชือกร้องเท้า ใช้ช้อนส้อม
  • วัยรุ่น เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเพื่อน เรียนรู้ที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง ทำกิจกรรมและแบ่งเวลาให้เป็น
  • วัยทำงาน ก็ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่แตกต่างออกไปจากที่เคย เรียนรู้เพื่อนร่วมงานที่มาจากคนละหลักแหล่ง
  • วัยครอบครัว ยังไม่วายหนีไม่พ้นการเรียนรู้การเป็นพ่อแม่ที่ดี ทั้งต้องเรียนรู้และคอยพร่ำสอนแบ่งปันประสบการ์และความรู้กับคนในครอบครัวเดียวกัน

แล้ววัยหลังเกษียณเล่าหรือ ไม่ต้องเรียนแล้วหรือกระไร… วัยไหนๆ ก็ยังคงต้องเรียนเสมอ โลกใบนี้มีสิ่งใหม่ๆ พัฒนาขึ้นตลอดเวลา หากเรามัวแต่กลัวที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ที่อยากทำ กลัวที่จะสร้างสรรค์ และกลัวที่จะเริ่มก้าวแรก กลัวที่จะหัดล้มลุกคลุกคลานอีกครั้ง ชีวิตเราคงอยู่นิ่งเหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อยรอวันเหือดแห้งไปตามกาลเวลา

เสียงเด็กคนนั้นยังร้องไห้ไม่หยุด แม่ใหม่บนบ้านพักข้างๆ ที่ฉันอยู่ อายุ 35 ปีแล้ว เธอเพิ่งย้ายมาเรียนปริญญาโทที่นี่หลังจากคลอดลูกได้ไม่นาน ตัวเลขไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอ เช่นเดียวกับอายุหลังวัยเกษียณที่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับลุงยิ้ม

“อย่าให้ตัวเลขทำลายความฝัน”

“ทำสิ่งที่อยากทำ แล้วจะสนุกกับชีวิต”

“อย่ากลัว” ลุงยิ้มบอกฉัน

 

 

Filed Under: Finland

มิตรภาพกับเฟอร์นิเจอร์

September 5, 2015 By KaiMook McWilla Malany 2 Comments

 

หย่าจิง เป็นเพื่อนสาวชาวจีนรูมเมทฉันเองค่ะ เธอบอกว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เท่าไรนัก แต่เธอน่ารักมากและเป็นมิตรดี ด้วยความที่เธอช่างพูดช่างคุยและฉันก็ซักเก่งพูดเก่ง เราเลยเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

เราจะมีรูมเมทมาอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอผู้นั้นยังไม่ปรากฏตัว คาดว่าน่าจะมาภายในสองสามวันนี้ เพราะมหาวิทยาลัยจะเปิดแล้ว ห้องเพื่อนเมทฉันทั้งสองคนมีเฟอนิเจอร์ให้พร้อมนะ แต่ฉันไม่มี ตอนฉันคุยกับบริษัทที่ดูแลเรื่องห้องให้ เขาไม่ยอมให้ฉันได้เฟอร์นิเจอร์เด็ดขาด เพราะฉันอยู่ระยะสั้น แค่ 6-7 เดือน ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่เยอรมัน แต่หย่าจิงอยู่ 2 ปี ขณะที่เพื่อนเมทอีกคน ฉันทายว่าคงอยู่นานเหมือนกันเพราะห้องได้รับการตกแต่งเรียบร้อยแล้ว

 

 

ลักษณะห้องที่เราอยู่เป็นตามที่เห็น แชร์ห้องครัว (KEITTIÖ) ห้องน้ำ (KH) กับระเบียง (parveke) ภาษานี้คือภาษาฟินนิชนะคะ ฉันอยู่ห้อง A หย่าจิงอยู่ห้อง C ส่วนห้อง B ตอนนี้ยังว่างอยู่ แต่ละห้องไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่ฉันว่าสะดวกสบายดี ข้อดีอีกอย่างคืออยู่ชั้นล่างสุดเลย แม้จะได้รับไอเย็นจากดิน ฝน และบรรยากาศชั้นล่างแต่ขนย้ายของสบายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฉันที่ต้องหาโต๊ะ ตู้ เตียงมาไว้ในห้อง

หลังจากที่หย่าจิงได้ข่าวว่าฉันนอนขดหนาวสั่นปวดหลังที่พื้น หย่าจิงก็บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ แล้วเธอก็จัดแจงติดต่อสมาคมคนจีนในกลุ่มเฟสบุ๊ค กับเพื่อนคนจีนของเธอในเมืองมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เธอเดินมาหาฉัน ยื่นโทรศัพท์ให้ดู “เอาไหม” เธอถาม

ภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือเตียงไม้เปลือยไร้เบาะ ฉันดีใจมาก (กระโดดกอดหย่าจิง) ไม่ต้องไปตระเวนซื้อของแล้ว เราตกลงราคากันทางโทรศัพท์เรียบร้อย แค่เตียงธรรมดา เหมือนเอาไม้มาตอกเองทั่วไป เขาขายให้ฉันที่ราคา 20 ยูโร ต่อเหลือ 18 ยูโร ราคาโอเคไม่เบา

แล้วหย่าจิง เพื่อนชาวจีนที่แสนดี ก็เดินมาลากมือฉัน บอกว่า “เราจะไปกันเดี๋ยวนี้” หมายถึงไปแบกเตียงกลับมาทันทีเลย ฉันนี่สุดจะซึ้ง นอกจากจะหาแหล่งซื้อเตียงไม้มือสองให้ ยังจะไปแบกเตียงกลับมาห้องกับฉันอีก

พอเราไปถึง ก็เจอครอบครัวชาวจีน พวกเขากำลังจะกลับประเทศวันพรุ่งนี้ เลยต้องพยายามขายของให้หมด “หนี ห่าว … หว่อ ชื่อ ไท่ กว้อ เหริน” (สวัสดี ฉันเป็นคนไทย) ฉันกล่าว แล้วฉีกปากกว้างทำตาเอ๋อหลังจากที่ครอบครัวจีนพ่นภาษาจีนใส่ฉันใหญ่ พูดภาษาจีนไม่ได้ค่ะ ฉันกล่าว

แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นโต๊ะกับเก้าอี้เลยถามขอซื้อเลย โต๊ะไม้ธรรมดาขนาดไม่ใหญ่มาก มีลิ้นชักเล็กๆ อยู่ข้างๆ กับเก้าอี้นั่งสี่ล้อลากสีดำดูสะดวกสบายดี เขาจะขายให้ฉันในราคา 40 ยูโร แต่ฉันขอให้เขาลดให้หน่อย “30 ยูโร ได้ไหม” เขากับภรรยามองหน้ากัน คุยกันเป็นภาษาจีนสักพัก ฉันทำหน้าวิงวอน เขายิ้มแล้วตอบตกลง

ขอลอยสักนิด เขาบอกว่าฉันสวยค่ะ เลยลดให้ 😛

มิตรภาพวันนี้ที่ได้รับ ฉันรู้สึกประทับใจไม่น้อย สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปคิดคือเรามักต้องการให้อีกฝ่ายทักเราก่อน เริ่มดีกับเราก่อน อาจเป็นความหยิ่งในตน หรือแค่กลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริง สำหรับฉันแล้วแค่เพียงยิ้มกับการทักทาย ก็เป็นการเริ่มต้นมิตรภาพได้ระดับหนึ่งแล้ว ยิ้มไปเถอะค่ะ ถามไถ่ว่าวันนี้เป็นอย่างไร เรียนเหนื่อยไหม กินข้าวหรือยัง แสดงความห่วงใย ความใส่ใจ วันละนิดวันละน้อย แค่เพียงเท่านี้ คุณก็จะรับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วจะอยู่ที่ไหนคุณก็มีความสุขได้เสมอ

“สวัสดีหย่าจิง นอนหลับดีหรือเปล่า การบ้านเสร็จไหม ทานข้าวหรือยัง เรียนหนักหรือเปล่า” คือคำถามที่ฉันถามเพื่อนร่วมห้องคนนี้ทุกวัน

ดีกับคนอื่น ไม่ต้องหวังผลตอบแทน แล้วความดีนั้นมันจะย้อนกลับมาหาเราเอง 

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

 

Filed Under: Finland

ไม่ลงตัว

August 29, 2015 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

วันนี้ค่ะตั้งเข้าเมืองไปทำธุระและซื้อของให้เรียบร้อย รายการที่ขาดไม่ได้แน่ๆ มีแค่สองอย่าง คือ เปิดบัญชีธนาคาร กับ เช่าจักรยาน ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง เบาะนอน ผ้าห่ม หรือข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ค่อยจัดการทีหลัง (เพราะฉันง่าย นอนพื้นได้ เก็บผักเก็บหญ้าจับแมลงแถวบ้านกินได้ 55)

ที่ฟินแลนด์การทำธุรกรรมการเงินทุกอย่างแทบจะใช้ผ่านบัตรเครดิต/เดบิตทั้งหมด และบางกรณี เช่น จ่ายค่าเรียน ค่าที่พัก ที่สำคัญคือต้องเป็นบัตรของธนาคารที่ฟินแลนด์ด้วยนะ ไม่งั้นโดนหักค่าชาร์จหัวบานแน่

ด้วยประการทั้งปวง การไปธนาคารจึงสำคัญที่สุด ฉันเดินเข้าเมืองประมาณ 4.5 กิโลเมตร วนๆ สักพัก เจอธนาคารที่ว่า ธนาคารเล็กมาก ป้ายเล็กมาก ไม่ได้ตั้งตระหง่านเด่นมาแต่ไกล สีเหลือง สีเขียว สีม่วงเหมือนที่เมืองไทย

จุดประสงค์ที่ไปธนาคารคราวนี้ เพื่อ “จอง” วันเวลาเปิดบัญชีเท่านั้นนะคะ ไม่ได้เพื่อเปิดบัญชีเล้ย ทุกอย่างที่นี่เป็นระบบ เคร่งครัด ไม่ได้มาถึงปุ๊ป อยากปิดบัญชีก็เปิด

แต่พนักงานหนุ่มหล่อผมทองเกริ่นขึ้นกับฉันว่า “ผมต้องพูดประโยคนี้ … เป็นครั้งที่สิบของวันแล้ว”

พูดซะฉันใจหาย คือ ฉันผิดอะไรรึป่าว ฉันตกใจ

“เต็มครับ เต็มเป็นเดือนเลย” เขาพูด “นักเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัยให้รอวันปฐมนิเทศน์ ทางมหาวิทยาลัยและผู้เกี่ยวข้องจะช่วยประสานงานให้ครับ”

คุยกันไปสักพัก ลงเอยด้วยว่า แม้จะจองวันเสร็จ เปิดบัญชีธนาคารเรียบร้อย ก็ไม่สามารถเปิด “Internet Banking” หรือการทำธุรกรรมผ่านทางอินเตอร์เน็ต (การทำธุรกรรมออนไลน์) ได้ นั่นหมายความว่าฉันจะไม่สามารถจ่ายค่าที่พักและค่าลงทะเบียนทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยโดยไม่โดนชาร์จได้เลย

ใช้บัตรจากไทย ต้องโดนชาร์จกันอีกระลอกใหญ่ แล้วอัตราแลกเปลี่ยนธนาคาร ณ ตอนนี้ยิ่งสูงอยู่ด้วยสิ (ณ เวลาที่เขียนประมาณ 42 บาท)

เสียตังค์เพิ่มโดยใช่เหตุอีกแล้วสินะ

“แต่มันต้องมีทางออกสิ” ฉันคิด (แต่คิดไม่ออก) เลยได่แต่กล่าวขอบคุณ แล้วเดิมดุ่มๆ ท่ามกลางสายฝนอีกประมาณครึ่งชั่วโมงมองหาร้านเช่าจักรยาน

ภารกิจที่สอง

ไปถึงร้านปรากฏว่าจักรยานให้เช่าเหลืออีกแค่ 2 คันเอง คุณภาพอย่าให้พูดถึง สนิมเกาะ เบาะพัง เบรคมือไม่มี ไม่เพียงเท่านั้นนะ คันใหญ่มาก คือ ฉั น เ ตี้ ย ไ ง ขึ้นคร่อมทีให้ปั่นเลี้ยวซ้ายขวาบนถนนลื่นๆ จากน้ำแข็งและหิมะ คงได้ล้มหัวฟาดพื้นกันพอดี

ขณะยืนจ้องจักรยานครุ่นคิดว่าทำยังไงต่อดี ก็เจอหนุ่มบราซิลคนหนึ่งยืนอยู่ในร้านจักรยาน ฉันทักเขา แนะนำตัว เขาบอกว่าชื่อราฟาเอล ราฟาเอลบอกว่าให้เลือกจักรยานที่ล้อใหญ่ๆ กันลื่นได้ จะได้ไม่ล้ม

แต่ทำไงได้ล่ะ ไม่มีตัวเลือกให้ฉันแล้ว

ไม่ได้อะไรอีกตามเคย
ชีวิตฉันช่างน่าเศร้าเสียจริงๆ

ไปห้างแล้วกันเนาะ ซื้อใหม่ก็ได้ …

พอไปถึงนะ ก็ได้อึ้งกับราคาจักรยานที่สูงปรี๊ด จักรยานธรรมดา ราคาตั้งหมื่นกว่าบาทแน่ะ นี่ยังไม่รวมค่าหมวก ค่าล็อค ค่าตะกร้า ค่าไฟจักรยานนะ ถอนใจ ฉันอยู่ที่นี่หกเดือนกว่าเอง

ปิ๊ง … เอางี้ เหมือนมีไฟฉายส่องขึ้นมาจากหัว

ฉันมีขาอันใหญ่ล้ำและบึกบึนนี่

พ่อแม่ให้ขาฉันมาสองข้าง ขอใช้ให้เป็นประโยชน์ยิ่งไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน ว่าแล้วก็เดินตา-กลมตาก-ลมตากฝนกอีก 5 กิโลเมตรกว่าๆ แบกนม กล้วย สตรอเบอร์รี่ เสื่อโยคะ (ใช้แทนเตียง) กับผ้าห่มนุ่มหนาผืนใหญ่ผื่นหนึ่ง และของจิปาถะอีกมากมายกลับบ้าน

ฉันว่านะความไ่ม่ลงตัวหรือความสับสนงุนงงที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย มีคนเคยบอกฉันว่า ”พออะไรๆ เริ่มลงตัวก็จะสนุกเอง”

แต่ฉันว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจเราคิดทั้งนั้น ถ้าเรามัวแต่เคร่งเครียดกับสถานการณ์ตรงหน้า แล้วเผชิญรับมันแบบหวาดผวา ก็จะกลัวและไม่สนุก แต่ถ้าเราคิดว่ามันท้าทาย เป็นอะไรใหม่ที่น้าค้นหา น่าลอง เราอาจจะมีความสุขกับมันก็ได้

ที่เค้าว่าคิดบวกแล้วดี มันดีจริงๆ นะ 🙂

 

Filed Under: Finland

ว่างเปล่า

August 29, 2015 By KaiMook McWilla Malany Leave a Comment

 

ก่อนมาถึงที่นี่ฉันได้ติดต่อหาที่พักมานานเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนกว่าได้ ฉันเสิร์ชหาข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งหอพักทั่วไป หอพักนักเรียนและ airbnb หวังหาที่พักที่ใกล้มหาวิทยาลัยที่สุด กะว่าพอถึงหน้าหนาวจะได้เดินกลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องตากหิมะตากลม รอรถบัสหรือปั่นจักรยานบนถนนลื่นๆ ให้หนาวและเหงาหัวใจ

แต่หายังไงก็หาไม่ได้เลยค่ะ … เขาบอกว่าต้องจองล่วงหน้าเป็นปี

สุดท้ายลงเอยที่บ้านพักนักเรียนห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทางจากบ้านพักไปมหาวิทยาลัยหรือเข้าเมืองสามารถทำได้โดยการ

  • นั่งรถบัส (ต้องรอนานหน่อยและราคาสูง – รสบัสมาชั่วโมงละประมาณ 2 คัน)
  • ปั่นจักรยาน (ถนนลื่น อาจไม่ชินและล้มได้) หรือ
  • เดิน (ถูกแต่เหนื่อย หนาวและนาน)

ฉันก็ยอมนะคะ ตกลงเอาที่พักแห่งนี้ เพราะถ้าไม่เอาก็คงห่างจากเมืองไปอีกเรื่อยๆ เป็น 4, 5 หรือ 6 กิโลเมตร นี่ถือว่าใกล้สุดแล้วล่ะ

พอตัดสินใจได้แล้วก็คิดว่า แหม 3 กิโลเมตรเอง คงไม่เป็นปัญหาหรอกมั้ง เดิน 30 นาทีก็ถึงแล้ว แต่มันไม่เป็นแบบนั้นเลยสิคะ ฉันเดินเป็นชั่วโมง เพราะระหว่างทางรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูง ตึกอิฐเตี้ยสีน้ำตาลเหมือนกันไปหมดยังไงยังงั้น รถรางหรือตึกสูงเป็นสัญลักษณ์ให้จำอะไรน่ะหรอ แทบไม่มีเลย

มึน
หลงทาง

ด้วยความที่มาถึงวันแรกตอนค่ำด้วย ร้านค้าปิดหมดแล้ว ร้านโทรศัพท์ซื้อซิมที่ไหนก็ไม่มี ไม่มีเน็ต ไม่มีแผนที่ มีแต่ใจเปลี่ยวๆ กับขาล้าเดินลากดิน … เดินวนไปวนมาจากบ้านพักเข้าไปในเมือง จากเมืองย้อนกลับมาที่บ้านพัก รวมระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร

แต่ด้วยความไม่รู้ทิศทางและลักษณะบ้านเมืองที่เหมือนกันหมดประกอบกับต้นไม้สูงรอบข้าง ฉันก็ดูโง่และเอ๋อกว่าเก่า เพราะฉันหาบ้านตัวเองไม่เจอ

มันเหมือนกันหมดเลย

ขนาดว่าฉันถ่ายรูปที่พักตัวเองไว้แล้วนะ กะว่าจะไว้ใช้เปิดดูกรณีหาบ้านไม่เจอ แต่รูปถ่ายอันล้ำค่าในโทรศัพท์กลับไม่ช่วยอะไรฉันเลยสักนิด

แล้วทำไมไม่ถามคนแถวนั้นให้ช่วยหาบ้านพักล่ะ … ก็มันไม่มีใครให้ถามนี่นา ไม่มีใครผ่านมาเลย ฉันเลยกลายเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ บอบบางเดินอยู่กลางป่านอกเมืองอยู่อย่างเหงาๆ คนเดียว นึกๆ แล้วก็มองหากบ ถ้าเห็นแล้วจะกระโดดใส่ จูบสักฟอดสองฟอดใหญ่ๆ เผื่อจะกลายเป็นเจ้าชายเหมือนในการ์ตูนดิสนีย์ขี่ม้าขาวมาช่วย

เดินวนอีกสัก 10 นาที ฮู้เล่! เจอบ้านแล้ว เข้าไปถึงจะอาบน้ำแล้วกระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆ นอนพักผ่อนให้หายเหนื่อย

แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ที่พักที่ฉันได้จองไว้คือห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีเตียง ไม่มีเบาะ ไม่มีหมอนหรือผ้าห่ม ไม่มีผ้าม่าน ไม่มีอะไรเลยนอกจากตู้เสื้อผ้า หรือจะเข้าไปนอนในนั้นดี

ว่างเปล่า

ดึกแล้ว ร้านค้าปิดหมด ฉันลงเอยด้วยการนอนพื้นเปลือยๆ ตื่นมากลางดึกเพราะหนาวมากมว๊าก อุณหภูมิข้างนอก 6 องศา ฮีตเตอร์ไม่ทำงาน เสียหรือยังไงไม่รู้ วันรุ่งขึ้นฉันเลยรีบส่งเมลล์ไปถามบริษัทที่ดูแลที่พัก เขาตอบว่า “ตอนนี้เขาปิดฮีตเตอร์ทั้งหมดทั่วตึก เพราะอากาศดี ไม่จำเป็นต้องใช้”

ค่ะ อากาศดี๊ดี … แต่ฉันหนาว

ปิดท้ายคืนนั้นด้วยการใส่เสื้อกล้ามสองตัว ตามด้วยฮีทเทค (เทคโนโลยีทันสมัยจากญี่ปุ่นที่ใครๆ ว่าดี๊แสนดี) แขนยาวอีกสองตัว ซ้อนด้วยเสื้อไหมพรมหนึ่งตัว และเสื้อกันหนาวโคลัมเบียทับอีกตัวหนึ่ง สวมถุงมือและถุงเท้าหนาอีกอย่างละคู่

ไม่อุ่นให้รู้กันไป

ทำไงได้ล่ะคะ เตียงไม่มี ผ้าห่มไม่มี พื้นก็เย็น อากาศข้างนอกหนาวก็หนาวอีก ปรับตัวและยิ้มรับประสบการณ์ท้าทายนี้ไปพลางๆ พลันนอนคิดว่าพรุ่งนี้จะเริ่มภารกิจไหนก่อนดี

 

Filed Under: Finland

  • 1
  • 2
  • Next Page »

KAIMOOK MALANY

ฉันโตมากับการไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง ฉันสู้ ดิ้นรน ปรับตัว เป็นฉันในวันนี้ ที่ยิ้มเก่ง ช่างพูด กล้าถาม ชื่นชอบการพบปะผู้คน รักการเรียนรู้ หลงรักการผจญภัย และอยู่อย่างสันโดษได้ นอกจากจะเพราะครอบครัวที่รักและคอยให้การสนับสนุนฉันแล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะตัวฉันที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง (wander) สิ่งที่ฉันได้เจอ ศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้เป็นความน่าหลงใหล (wonderful) ที่ฉันอยากจะแลกเปลี่ยนแบ่งปัน ทุกอย่างที่เขียนขึ้นกลั่นออกมาจากใจฉันเองค่ะ (minds)

Join the Social Conversation

  • Facebook
  • Instagram
  • Pinterest

Copyright © 2015-2019 · Squiddy Productions · This site powered on interstellar cognitions · Privacy