เป็นที่รู้กันว่า รู้สองภาษามักได้เปรียบกว่ารู้หนึ่งภาษา อย่างแน่นอน ทั้งดูหนังได้มากเรื่องกว่า อ่านหนังสือได้หลายเล่มกว่า ในภาษาที่ตนรู้ เป็นการเปิดโลกเปิดโอกาสให้กับตัวเอง ไหนจะสนทนากับใครได้กว้างขวางกว่า เดินทางไปต่างประเทศก็มีโอกาสได้เรียนรู้ และสื่อสารกับคนท้องถิ่นมากกว่า และประโยขน์จิปาถะอีกมากมายนับไม่ถ้วน
แล้วเคยสงสัยไหมคะว่า …
สมองของทั้งสองกลุ่มต่างกันไหม?
ระบบการทำงานต่างกันรึป่าว?
การพัฒนาการล่ะ เร็วช้าต่างกันอย่างไร?

ภาพจาก TEDEd: Mia Nacamulli
คำตอบก็คือ
สมองทางกายภาพต่างกัน จากภาพการสแกนสมอง นักวิจัยพบว่าสมองผู้รู้สองภาษามีสมองเนื้อสีเทา (gray matter) มากกว่า สมองส่วนนี้มีลักษณะเป็นลอนเป็นท่ีอยู่ของเซลล์ประสาท มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ พวกการมองเห็น ได้ยิน และความจำ
ด้วยเหตุนี้เองคนกลุ่มนี้จึงมีระบบสัมผัสหรือเซนส์ที่ดีกว่า มีความจำที่เริ่ดหรูกว่าผู้รู้หนึ่งภาษา (monolinguals)
แต่ไม่เพียงเท่านี้นะคะ ผู้รู้สองภาษายังเรียนภาษาอื่นๆ ได้ง่ายและดีกว่าผู้รู้หนึ่งภาษาอีกด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพื้นที่หรือปริมาณเนื้อที่ในสมองที่เชื่อมโยงกับภาษามีมากกว่าปกติ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าระบบการทำงานของสมองต่างกันกับระบบสมองของผู้รู้ภาษาเดียว
หมายความว่าอย่างไร?
สมองของเราแบ่งออกเป็นสองซีกค่ะ คือ ซ้ายกับขวา
- สมองซีกซ้ายควบคุมดูแลด้านภาษา การคิดวิเคราะห์ และการใช้เหตุผล
- ขณะที่ซีกขวาเน้นควบคุมอารมณ์
ด้วยความที่ความยืดหยุ่นของสมองผู้รู้สองภาษาดีกว่าผู้รู้หนึ่งภาษา (เพราะมีส่วนเนื้อเยื้อสีเทามากกว่า) และการไหลเวียนของระบบในสมองเลยดีกว่าเลยทำให้สมองทั้งสองซีกของผู้รู้สองภาษาช่วยกันดูแลควบคุมด้านภาษา แต่สำหรับผู้รู้ภาษาเดียวนั้น การควบคุมของภาษามักอยู่แค่ซีกซ้ายเพียงซีกเดียว
การช่วยกันทำงานของสมองของผู้รู้สองภาษาจึงทำให้ความคิดไหลลื่นเป็นไปตามระบบมากขึ้น และสมองก็มีส่วนแบ่งเบาภาระมากขึ้น ที่สำคัญทำให้เป็นอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมช้าลงอีกด้วย
รู้แบบนี้แล้ว
มีลูก มีหลาน ให้หมั่นเรียนภาษา
โตแล้วก็เรียนเพิ่มเติม ทนนิดทนหน่อย เพื่อความจำที่ดี
สำหรับบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ สมอง ภาษา และความคิด คลิกที่นี่